Saturday, October 24, 2009

ดูหนัง Saving Private Ryan

อีกหนึ่งหนังสงครามที่คนเป็นทหารต้องดู ถ่ายทอดความโหดร้ายและมุมมองของสงครามโลกครั้งที่ 2 ผ่านแผ่นฟิมล์ ซึ่งนำแสดงโดยพระเอกยอดนิยมอย่าง TOM HANKS นั้นเอง เป็นเรืองของการตามหาพลทหารคนหนึ่งที่เป็นพลร่ม แล้วกระโดดร่มลงพลัดหายไปในสมรภูมิ โดยพี่ชายของเขาพลทหารคนดังกล่าว เสียชีวิตจากการรบทั้งสองคน ดังนั้นทางการจึงไม่ต้องการให้พี่น้องคนสุดท้องคือพลทหาร Ryan เสี่ยงต่อการเสียชีวิตในการรบได้อีก จึงมีคำสั่งให้จัดทีมค้นหาพลทหาร Ryan โดยมีพระเอกของเรื่องคือ TOM HANKS เป็นหัวหน้าทีม ติดตามภารกิจของพวกเขาในการค้นหาและติดตามหาพลทหาร Ryan ว่าจะสำเร็จหรือไม่

World War II was a pivotal event of the 20th century and a defining moment for America and the world. It shifted the borders of the globe. It forever changed those who lived through it, and shaped generations to come. It has been called "the last great war."

Nothing could have prepared the soldiers at Omaha Beach for the battle they are about to wage. Filled with hope and resolve, none of them knows if they will survive the small strip of beach ahead of them. As his eyes scan the Normandy coast, Captain John Miller (TOM HANKS) believes that getting himself and his men past the gauntlet is the greatest challenge he has faced in the war. But his most difficult task still lies ahead.


Even as the Allied forces begin to get a foothold at Omaha, Miller is ordered to take his squad behind enemy lines on a dangerous mission to find and retrieve one man: Private James Ryan (MATT DAMON). The youngest of four brothers, Ryan is the last survivor, the other three having all been killed in action within days of one another.

As the squad pushes deeper into enemy territory, Captain Miller's men find themselves questioning their orders. Why is one man worth risking eight... why is the life of this private worth more than their own?

Amid the chaos and terror of those days in early June 1944, this remarkable story searches to find decency in the sheer madness of war.

Troy สุดยอดมหากาพย์ตำนานรบของกรีกโบราญ

ประเด็นที่เกี่ยวของ การวางแผนการทัพ ศึกษารูปแบบการสงครามของนักรบตะวันตกในอดีต

เรื่องราวทั้งหมดใน “ทรอย” (TROY) ได้รับแรงบันดาลใจมาจากงานเขียนของ โฮเมอร์ เรื่อง THE ILIAD ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอกในยุคเก่าแก่ของซีกโลกตะวันตก โดย วูลฟ์กัง ปีเตอร์เสน นำมาถ่ายทอดลงสู่แผ่นฟิล์ม พร้อมดึงนักแสดงชื่อดังแห่งยุคมาร่วมประชันบทบาท ไม่ว่าจะเป็น แบรด พิตต์ อีริค บานา ออร์แลนโด บลูม และ ไดแอน ครูเกอร์

ความรักระหว่าง เจ้าชายปารีส และ เฮเรน กลายเป็นชนวนเหตุแห่งการล่มสลายของอาณาจักรทรอย เมื่อ เจ้าชายปารีส ลักพาตัว เฮเลน ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหญิงที่สวยที่สุดในยุคนั้นมาจากกษัตริย์ เมเลสัส แห่ง สปาต้า กาลครั้งนั้นถือเป็นการหยามเกียรติและศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก เมเลสัส จึงสั่งการให้ อากาเมมนอน กษัตริย์ผู้ทรงอำนาจแห่งไซมีเนีย ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องชายให้รวบรวมชนชาติทุกเผ่าพันธุ์ของกรีก และยกกองทัพไปบุกเมืองทรอยเพื่อแย่งชิงตัว เฮเลน กลับคืนมา

อากาเมมนอน มองเห็นถึงความเกรียงไกรของอาณาจักรทรอย และเจ้าชายเฮคเตอร์ พี่ชายของเจ้าชายปารีส เขาจึงตัดสินใจดึงตัว อคาลิส นักรบหนุ่มฝีมือฉกาจ พร้อมทหารเรือนแสนกรีฑาทัพสู่เมืองทรอยในทันที

Thursday, October 22, 2009

นสศ. รับสมัครทหารกองหนุนและบุคคลพลเรือนชายเข้ารับราชการ

ประกาศหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
เรื่อง รับสมัครทหารกองหนุนและบุคคลพลเรือนชายเข้ารับราชการ
-------------------------------------
หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ มีความประสงค์รับสมัครทหารกองหนุน และบุคคล พลเรือนชาย เพื่อสอบคัดเลือกบรรจุเข้ารับราชการเป็นนายทหารประทวน (อัตรา ส.อ.) จำนวน ๖๓ อัตรา มีรายละเอียด ดังนี้.-
๑. ตำแหน่งที่รับสมัครสอบคัดเลือก
๑.๑ พนักงานวิทยุ จำนวน ๑๙ ตำแหน่ง
๑.๒ พลขับรถ จำนวน ๑๕ ตำแหน่ง
๑.๓ ช่างซ่อมวิทยุ จำนวน ๗ ตำแหน่ง
๑.๔ พนักงานวิทยุโทรเลข จำนวน ๕ ตำแหน่ง
๑.๕ เสมียน จำนวน ๔ ตำแหน่ง
๑.๖ ช่างซ่อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า จำนวน ๓ ตำแหน่ง
๑.๗ ช่างยานยนต์ล้อ จำนวน ๒ ตำแหน่ง
๑.๘ นายสิบศูนย์ข่าว จำนวน ๒ ตำแหน่ง
๑.๙ พลสลับสาย จำนวน ๒ ตำแหน่ง
๑.๑๐ พลทางสาย จำนวน ๑ ตำแหน่ง
๑.๑๑ พลนำสารยานยนต์ จำนวน ๑ ตำแหน่ง
๑.๑๒ เสมียนส่งกำลัง จำนวน ๑ ตำแหน่ง
๑.๑๓ พลวิทยุ จำนวน ๑ ตำแหน่ง
๒. คุณสมบัติทั่วไป
๒.๑ สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๓) สายสามัญ สายอาชีพ หรือเทียบเท่า ขึ้นไป ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ และผู้ที่กำลังรอผลการศึกษา
๒.๒ มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์ (นับถึงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ คือผู้ที่เกิดตั้งแต่วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ (งดรับผู้สมัครที่เกิดปี พ.ศ.๒๕๓๒ ซึ่งจะต้องเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองประจำการ ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๓ ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗)
๒.๓ ผู้สมัคร และบิดา มารดา มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด แต่ถ้าบิดาเป็นนายทหารสัญญาบัตร หรือนายทหารประทวน ซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดแล้ว มารดาจะมิใช่เป็นผู้มีสัญชาติไทย โดยกำเนิดก็ได้
- ๒ -

๒.๔ มีอวัยวะ รูปร่าง ลักษณะท่าทาง และขนาดร่างกายเหมาะแก่การเป็นทหาร ไม่เป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการรับราชการ
๒.๕ ไม่เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรม ไม่เป็นผู้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว
๒.๖ ไม่อยู่ในสมณะเพศ
๒.๗ ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างต้องคดีอาญา และไม่เคยต้องคำพิพากษาโทษจำคุก เว้นแต่ความผิดในลักษณะลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทำโดยประมาท
๒.๘ ไม่เคยทุจริตในการสมัครสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในทุกหน่วยมาก่อน
๒.๙ ต้องได้รับอนุญาตจากบิดา มารดา หรือผู้ปกครองให้สมัครเข้าบรรจุรับราชการทหาร
๒.๑๐ ไม่เป็นผู้เสพยาเสพติดหรือสารเคมีเสพติดให้โทษ
๓. คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง
๓.๑ พนักงานวิทยุ, พลสลับสาย, พลทางสาย, พนักงานวิทยุโทรเลข, พลวิทยุ
๓.๑.๑ เป็นทหารกองหนุน หรือบุคคลพลเรือนชายอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๑.๒ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๓) หรือเทียบเท่าขึ้นไป(สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๑.๓ มีความรู้ความสามารถทางด้านพิมพ์ดีด และการใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
๓.๑.๔ การใช้วิทยุ และการปรนนิบัติบำรุงเครื่องมือสื่อสารเบื้องต้น
๓.๒ พลขับรถ
๓.๒.๑ เป็นทหารกองหนุน อายุไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๒.๒ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๓) หรือเทียบเท่าขึ้นไป (สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๒.๓ มีความรู้ทางด้านเครื่องยนต์ สามารถขับรถยนต์ได้ และมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
๓.๓ เสมียนส่งกำลัง, เสมียน, พลนำสารยานยนต์
๓.๓.๑ เป็นทหารกองหนุน หรือบุคคลพลเรือนชายอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๓.๒ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๓) หรือเทียบเท่าขึ้นไป (สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๓.๓ มีความรู้ความสามารถทางด้านพิมพ์ดีด และการใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น
- ๓ -

๓.๔ ช่างซ่อมเครื่องกำเนิดไฟฟ้า, ช่างซ่อมวิทยุ
๓.๔.๑ เป็นทหารกองหนุน หรือบุคคลพลเรือนชายอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๔.๒ สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาช่างไฟฟ้า หรือช่างอิเล็กทรอนิกส์ หรือเทียบเท่าขึ้นไป (สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๔.๓ มีความรู้ทางด้านการซ่อมเครื่องไฟฟ้า และเครื่องอิเล็กทรอนิกส์
๓.๕ ช่างยานยนต์ล้อ
๓.๕.๑ เป็นทหารกองหนุน หรือบุคคลพลเรือนชายอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๕.๒ สำเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขาช่างยนต์ หรือเทียบเท่าขึ้นไป (สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๕.๓ มีความรู้ความสามารถทางด้านการซ่อมบำรุง รักษาเครื่องยนต์
๓.๖ นายสิบศูนย์ข่าว
๓.๖.๑ เป็นทหารกองหนุน หรือบุคคลพลเรือนชายอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกิน ๓๐ ปีบริบูรณ์
๓.๖.๒ สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.๓) หรือเทียบเท่าขึ้นไป (สำหรับผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าที่ทางราชการกำหนดไว้ จะใช้คุณวุฒิต่าง ๆ ที่สูงกว่านั้น มาเรียกร้องสิทธิใด ๆ ภายหลังมิได้)
๓.๖.๓ มีความรู้ความสามารถทางด้านพิมพ์ดีด
๔. หลักฐานประกอบการรับสมัคร
๔.๑ เอกสารแสดงคุณวุฒิ เช่น ประกาศนียบัตร ใบสุทธิ หรือระเบียนแสดงผลการเรียน ฉบับจริงและสำเนา
๔.๒ บัตรประจำตัวประชาชน พร้อมสำเนา
๔.๓ ทะเบียนบ้านของผู้สมัคร และบิดา มารดา ของผู้สมัคร ฉบับจริงและสำเนา
๔.๔ ใบมรณบัตรของ บิดา มารดา (กรณีถึงแก่กรรม) ฉบับจริง และสำเนา
๔.๕ เอกสารสำคัญทางทหาร
๔.๕.๑ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาวิชาทหารจาก กรมการรักษาดินแดน ต้องมีใบสำคัญทหารกองหนุน (แบบ สด.๘) และหนังสือสำคัญประจำตัวแสดงวิทยฐานะการฝึกวิชาทหาร
๔.๕.๒ ผู้ที่ผ่านการตรวจเลือกทหารแล้ว ต้องมีใบสำคัญผลการตรวจเลือกฯ (แบบ สด.๔๓)
- ๔ -
๔.๕.๓ ผู้เป็นทหารกองหนุน ซึ่งเคยรับราชการเป็นทหารกองประจำการมาก่อน ต้องมีใบสำคัญทหารกองหนุน (แบบ สด.๘) และหนังสือรับรองความประพฤติจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดสุดท้ายที่รับราชการ
๔.๕.๔ ผู้ที่ยังไม่ถึงเกณฑ์เข้ารับการตรวจเลือก ฯ ใช้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนทหาร (แบบ สด.๙)
๔.๖ รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวกและแว่นตา (ถ่ายไม่เกิน ๓ เดือน) ขนาด ๑ นิ้ว จำนวน ๔ รูป
๔.๗ หลักฐานอื่น ๆ (ถ้ามี) เช่น หลักฐานการเปลี่ยนชื่อตัว, ชื่อสกุล
๕. หลักฐานเพิ่มเติมเพื่อขอรับสิทธิพิเศษหรือสิทธิคะแนนเพิ่ม ผู้สมัครซึ่งมีความประสงค์ขอรับสิทธิพิเศษ หรือคะแนนเพิ่มจะต้องยื่นหลักฐาน ดังนี้
๕.๑ บิดาเสียชีวิตเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศ และได้รับการปูนบำเหน็จพิเศษ จำนวน ๒๐ คะแนน ใน ๑๐๐ คะแนน (เฉพาะสอบภาควิชาการ)
๕.๒ บิดาพิการทุพพลภาพจนกระทั่งถูกปลดออกจากราชการจากการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันประเทศ จำนวน ๑๐ คะแนน ใน ๑๐๐ คะแนน (เฉพาะสอบภาควิชาการ)
๕.๓ บิดา, มารดา ที่รับราชการใน ทบ. หรือเคยรับราชการใน ทบ.มาก่อน เว้นผู้ที่ ถูกปลดออกจากราชการเนื่องจากมีความผิดบกพร่องต่อหน้าที่ จำนวน ๒ คะแนน ใน ๑๐๐ คะแนน (เฉพาะสอบภาควิชาการ)
ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าหลักเกณฑ์ได้รับการเพิ่มคะแนนจากหลักเกณฑ์ข้างต้นหลายข้อ ให้เพิ่มคะแนนให้ตามหลักเกณฑ์ในข้อที่ได้รับคะแนนเพิ่มสูงสุดเพียงข้อเดียว
๖. การสอบภาควิชาการ (คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน) ทำการทดสอบดังนี้
๖.๑ ภาษาไทย (๒๕ คะแนน)
๖.๒ คณิตศาสตร์ (๒๕ คะแนน)
๖.๓ วิทยาศาสตร์ (๒๕ คะแนน)
๖.๔ ภาษาอังกฤษ (๒๕ คะแนน)
๗. การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย (คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน)
๗.๑ ดันพื้น (๒๐ คะแนน)
๗.๒ ลุก – นั่ง (๒๐ คะแนน)
๗.๓ ดึงข้อ (๒๐ คะแนน)
๗.๔ วิ่ง ๒ กม. (๒๐ คะแนน)
๗.๕ ว่ายน้ำ ๕๐ ม. (๒๐ คะแนน)


- ๕ -

๘. การทดสอบภาคปฏิบัติ (คะแนนเต็ม ๕๐ คะแนน)
๙. การสอบสัมภาษณ์ (คะแนนเต็ม ๕๐ คะแนน)
๑๐. กำหนดจำหน่ายระเบียบการรับสมัคร และวันรับสมัคร
๑๐.๑ จำหน่ายระเบียบการรับสมัครใน ๑๙ ตุลาคม – ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ กองบัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่เวลา ๐๘๓๐ – ๑๖๐๐ เว้นวันหยุดราชการ
๑๐.๒ รับสมัคร ใน ๒ – ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ณ แหล่งชุมนุมทหารรบพิเศษ (๑) ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ตั้งแต่เวลา ๐๘๓๐ – ๑๖๐๐ เว้นวันหยุดราชการ
๑๐.๓ ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่กองกำลังพลหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี โทรศัพท์ (๐๓๖) ๔๑๓๔๑๒ ในวัน และเวลาราชการ
๑๑. ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสอบคัดเลือก และรับฟังคำชี้แจง ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๐๙๐๐ ณ แหล่งชุมนุมทหารรบพิเศษ (๑)

ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

(ลงชื่อ) พลโท โปฎก บุนนาค
( โปฎก บุนนาค )
ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ
ที่มา http://www.rta.mi.th/26000u/index11.htm

Sunday, October 11, 2009

แนะนำหนังดีน่าดู the shooter

เรื่องย่อ the shooter
จ่า Bob Lee Swagger (Mark Wahlberg), อดีตสุดยอดพลซุ่มยิงมือหนึ่งของหน่วยนาวิกโยธินของกองทัพเรือ เป็นอีกหนึ่งในสุดยอดพลแม่นปืนที่สามารถยิงทำลายเป้าหมายในระยะไกลได้อย่างแม่นยำ เขาลังเลที่จะตัดสินใจทิ้งบ้านที่สงบเงียบบนเขาของเขาเพื่อเข้าทำงานให้รัฐบาล ที่มีพันเอก Isaac Johnson (Danny Glover). พันเอก Johnson วิงวอนให้เขาใช้ความสามารถพิเศษของเขาเพื่อช่วยเหลือการป้องกันประธานาธิบดีจากการถูกลอบยิงจากระยะไกล โดยพันเอก Johnson ให้ข้อมูลเมือง 3 แห่งที่ประธานาธิบดีมีกำหนดการเยือน

จ่า Swagger ได้สำรวจและประเมินสถานที่ทั้ง 3 แห่ง ซึ่งเขาพบว่าเมือง Philadelphia เป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการลอบซุ่มยิงจาก sniper ในระยะไกล เขาได้แจ้งข้อมูลให้กับพันเอก Johnson, และทีมงานเพื่อวางแผนรับมือการลอบสังหารประนาธิบดีในครั้งนี้ แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเป็นตาลปัตร เมื่อทั้งหมดเป็นแผนการณ์ของพันเอก johnson และทีมงาน เป็นสถานณ์การที่ยุ่งยากและซับซ้อน ขณะที่จ่า Swaggerกำลังทำงานอยู่กับทีมงานของ พันเอก Johnson's agents — รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น — เพื่อสืบหาข่าวเกี่ยวกับพลซุ่มยิง,ผู้ที่ถูกยิงไม่ใช่ประธานาธิบดีแต่เป็น Ethiopian archbishop ซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าของประธานาธิบดี. จ่า Swagger ถูกยิงโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่สามารถหลบหนีออกมาได้ มีการออกข่าวไปทั่วประเทศว่าเขาเป็นมือปืนและกำลังหลบหนีการจับกุม ระหว่างการหลบหนีเขาได้พบกับเจ้าหน้าที่สืบสวนพิเศษมือใหม่ คือ Nick Memphis (Michael Peña,ซึ่งถูกเขาแย่งปืนและรถขับหนีไป

การตามล่าเขาเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่านกาย เขาต้องขับรถเข้าไปหลบในที่บริการล้างรถ และทำแผลที่ถูกยิง ต้องขับรถหลบหนีลงไปในแม่น้ำ Delaware River ขณะที่กำลังถูกไลล่าอย่างหนัก . เขาหลบหนีไปพบกับ Sarah Fenn (Kate Mara), ม่ายสาวอดีตภรรยาของเพื่อนพลซุ่มยิงในสงครามด้วยกัน และเขารอดชีวิตจากการช่วยเหลือของเธอในการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกจากแผลที่ถูกยิง และเธอได้กลายมาเป็นผู้ช่วยของเขาในการสืบค้นหาความจริง ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไร ใครเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ทั้งหมดที่แท้จริง

เมื่อทีมงานผู้วางแผนต้องการตัดตอนความลับ จึงอุ้มตัว จนท.พิเศษ และพยายามสร้างเรื่องว่าเขายิงตัวตายเอง แต่โชคดีที่จ่า Swagger มาช่วยเขาไว้ก่อน จากนั้นทั้งสองคนได้ร่วมมือกันเพื่อค้นหาความจริง โดยได้ไปพบกับ ผู้ชำนาญเรื่องอาวุธปืน (Levon Helm) in Athens, Tennessee. จากนั้นได้วางแผนหาตัวมือยิงที่แท้จริง คืออดีตพลซุ่มยิง เพื่อนของพันเอก Colonel Johnson. เมื่อเจอตัวแล้ว ใน Lynchburg, Virginia, เขากลับตัดสินใจยิงตัวตาย หลังจากที่เปิดเผยว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือ archbishop เพื่อไม่ให้พูดถึงเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่นโดยสมาชิกวุฒิสภา Charles Meachum (Beatty); ทำให้จ่า Swagger ทราบว่าภารกิจที่เขาเคยทำงานเมื่อหลายปีที่ผ่านมา จนทำให้เพื่อนของเขาเสียชีวิต ก็มีส่วนเกี่ยวโยงและสัมพันธ์กัน ด้วยความช่วยเหลือของ จนท.พิเศษ l Memphis's ทำให้เขาสามารถหลบหนีจากการซุ่มโจมตีโดยการสังหาร ทหารรับจ้างไปกว่า 24 คน

ขณะที่ Sarah ถูกจับตัวเพื่อล่อให้จ่า Swagger ออกจากที่ซ่อน .ด้วยหลักฐานที่มีอยู่ทำให้เกิดการแลกตัวประกันกัน หลังจากสังหารพลซุ่มยิงที่ซ่อนอยู่และช่วยเหลือ Sarah, จ่า Swagger และ Memphis ได้ยอมมอบตัวกลับ จนท. FBI.

การสอบสวนโดย ผอ.ของ FBI และ หน.อัยการ General present, จ่า Swagger ใช้ปืน rifle ของเขาบรรจุกระสุนและเล็งยิงไปที่พันเอก Johnson แต่กระสุนด้าน.จ่า Swagger อธิบายว่าทุกครั้งที่ออกจากบ้านเขาจะถอดเข็มแทงชนวนออกจากตัวปืน เพื่อไม่ให้สามารถใช้การได้ อย่างไรก็ตามด้วยชั้นเชิงทางกฏหมายที่เหนือกว่าทำให้พันเอก Johnson explains that every time he leaves his house, he takes out all the fireing pins rendering them unable to fire until he returns. Although Swagger is exonerated, Colonel Johnson takes advantage of a legal loophole — the Ethiopian genocide is outside American legal jurisdiction — and walks free. The attorney general approaches Swagger and states that as a law enforcement official, he must abide by the law (he insinuates that if it was the "wild west" it would be appropriate to clean the system with a gun). Afterwards, the Colonel and the Senator plan their next move while at the Senator's vacation house — only to be interrupted by an attack by Swagger. He kills both conspirators, one of the Colonel's aides and two bodyguards, then breaks open a gas valve before leaving. The fire in the fireplace ignites the gas, blowing up the house. The final scene shows Swagger getting into a car with Fenn and driving away.

Saturday, October 10, 2009

Behind Enemy Lines หรือ แหกมฤตยูแดนข้าศึก

Behind Enemy Lines หรือ แหกมฤตยูแดนข้าศึก หนังแนวทหาร สงครามอีกเรื่องหนึ่ง ที่ดูแล้วตื่นเต้นระทึกไปกับภารกิจของ เขา เกี่ยวกับทหารพลร่มหรือนักรบพิเศษ แต่พระเอกของเรื่อง เป็นนักบินขงกองทัพเรือ เมื่อเครื่องบินของเขาถูกข้าศึกยิงตก ขณะปฏิบัติภารกิจสอดแนมถ่ายภาพทางอากาศ ทำให้ต้องสละเครื่องโดยการดีดตัว Eject ออกมา และใช้ร่มชูชีพในการลงสู่พื้นดิน จากนั้นเขาต้องใช้ทักษะและความสามารถของหน่วยรบพิเศษ ในการเล็ดลอดหลบหนี และใช้เครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร รวมทั้งการหาทิศ จากการอ่าน แผนที่เข็มทิศ หนังถ่ายทอดเรื่องราวสะท้อนการต่อสู้ในลักษณะการเอาตัวรอดของทหารพลร่ม ที่พลัดหลงเข้าไปอยู่หลังแนวของข้าศึกได้เป็นอย่างดี แนะนำให้ผู้สนใจหาซื้อ เช่ามาัรับชมกันได้ครับ
เรือโท คริส เบอร์เน็ท (โอเว่น วิลสัน) คือสุดยอดนักบินของกองทัพเรือ แต่เขากลับต้องผิดหวัง เนื่องจากสถานะการณ์ทางการเมืองที่ค่อนข้างเปราะบาง ทำให้เขาถูกกันให้ห่างจากสิ่งที่เขารู้ดีที่สุด นั่นคือ การบิน F/A -18 สุดยอดเครื่องบินเจ็ทที่ใช้ในการต่อสู้ "เรามีหน้าที่เฝ้าดู ไม่ใช่ต่อสู้" เขาบอกกับ พลเรือเอก ไรการ์ต (ยีน แฮ็คแมน) ซึ่งคิดว่าเบอร์เน็ท ไม่เคยรู้อะไร คือความหมายที่แท้จริงของการเป็นทหาร
ระหว่างปฏิบัติภาระกิจลาดตระเวนในบอสเนีย เบอร์เน็ทถ่ายภาพบางสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครเห็น เป็นเหตุให้เครื่องบินถูกสอยร่วงลงมาตกอยู่แดนของศัตรู เบอร์เน็ทพยายามที่จะเอาตัวรอด จากการไล่ล่าอย่างไม่ลดละของตำรวจลับ ที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณี และกองทัพศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วน ด้วยเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที ไรการ์ตตัดสินใจ ที่จะหลีกเลี่ยงกฎข้อบังคับโลก ที่เขาดำเนินการอยู่ และเสี่ยงหน้าที่การงานของตัวเอง เพื่อปฏิบัติการกู้ชีพนายทหารคนหนึ่ง
ทเว็นตี้ธ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ภูมิใจเสนอ Behind Enemy Lines ภาพยนตร์สงครามในรูปแบบใหม่ ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง แอ็คชั่น, เอ็ฟเฟ็กที่ทันสมัย, การเมือง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ 'หัวใจ' งานสร้างของ Davis Entertainment Company กำกับภาพยนตร์โดย จอห์น มัวร์ อำนวยการสร้างโดย จอห์น เดวิส (Dr. Dolittle 2, Heartbreakers, Doctor Dolittle) บทภาพยนตร์โดย เดวิด เวลอซ (Natural Born Killers) และ ซาค เพ็นน์ (X2 หรือ X-Men 2, Inspector Gadget, Last Action Hero) จากเรื่องของ เจมส์ โธมัส และ จอห์น โธมัส (Mission to Mars, Wild Wild West, Predator) บริหารงานสร้างโดย สเตฟานี ออสติน และ วิค ก็อดเฟรย์
Behind Enemy Lines นำแสดงโดย โอเว่น วิลสัน (The Haunting, Shanghai Noon, Meet the Parents, The Royal Tenenbaums) และ ยีน แฮ็คแมน (The Replacements, Crimson Tide, The French Connection) ร่วมแสดงด้วย โจอาควิม เดอ อัลเมด้า (Desperado, Only You) รับบท พลเรือเอกล พิเคว็ต แห่ง NATO ผู้เกรงว่า การกู้ชีวิตเบอร์เน็ท จะเป็นการทำลายสันติภาพอันเปราะบาง, เดวิด คีธ (U-571, Men of Honor) ในบท มาสเตอร์ ชีฟ โอ'มัลลีย์ นายทหารมือขวาของไรการ์ต, โอเลค ครูป้า (Thirteen Days, Blue Streak) ในบท โลคาร์ หัวหน้าพลร่มชาวเซิร์บ ผู้นำในการไล่ล่าเบอร์เน็ท, เกเบรียล มาชท์ (The Object of My Affection, American Outlaws) ในบท สแต็คเฮาส์ เพื่อนนักบินของเบอร์เน็ท และ ชาร์ลส มาลิค ไวธ์ฟิลด์ เป็น ร็อดเวย์ นายทหารยศสิบเอกที่ร่วมในปฏิบัติการช่วยชีวิต โดยมี นาวาเอก เดวิด เคนเนดี้ อดีตนายทหารเกษียณอายุ แห่งกองทัพเรือสหรัฐ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคของภาพยนตร์


ทีมงานของ Behind Enemy Lines ประกอบด้วย สำหรับผู้ออกแบบฉาก นาธาน โครว์เลย์ (Insomnia), ผู้ตัดต่อ พอล มาร์ติน สมิธ (Star Wars: Episode I - The Phantom Menace, Titan A.E.), ผู้ถ่ายภาพ เบรนแดน กาลวิน (Far and Away), ผู้ประพันธ์ดนตรีประกอบ ดอน เดวิส (Jurassic Park III, Valentine, The Matrix Reloaded)
ขอขอบคุณที่มาของภาพและเนื้อหาประกอบจาก http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/newmovie/behindenemylines/bel.html

ข้อสอบเกาภาษาอังกฤษคุณวุฒิ ป.ตรี ยศ.ทบ.(ปี43)

วันนี้เอาแนวข้อสอบเก่าวิชาภาษาอังกฤษมาฝากให้สมาชิกเว็บบล็อกของ ทหารพลร่ม ได้ลองทำดู เผื่อมีคนสนใจสอบเข้านายทหารสัญญาบัตรของ ยศ.ทบ. เป็นข้อสอบเก่าภาษาอังฤษ ยศ.ทบ.ปี 2543 แต่คิดว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านก็เลยนำมาฝากกัน จำนวน 18 ข้อ ส่วนใหญ่ก็เป็นควารู้พื้นฐานคำศัพท์ (Vocabulary) ,และพื้นฐานไวยากรณ์ (Grammar)ในภาษาอังกฤษทั่วไป คิดว่าไม่ยากเท่าไร ลองๆ อ่านเล่นๆ พื้นๆ ความรู้ภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร ยังไม่มีเฉลยให้ในตอนนี้นะครับ ให้ทดสอบดูก่อน แล้วตอนหน้า (เวลามี) จะมาเฉลยให้ครับ หรือใครสนใจเฉลยจริง ๆ ก็คุยกันหลังไมค์ฝากข้อความไว้ที่ Post ได้ครับ
1 The bank needed more information before they would give you a lone. The bold word means .................
1 disturbed
2 Required
3 ashamed
4 looked for
2 My friend has been reading a book about the life of Albert Einstein.The underline words mean_____________ .
1 geography
2 Biology
3 biography
4 Novel
3 My sister__________ out loudly when she had a bad dream.
1 scared
2 Searched
3 frightend
4 Screamed
4 That young man is one of the __________ who have applied for a job with RS company.
1 application
2 Applicants
3 impression
4 References
5 For number 5-8 compleate the text with these words
During their last year at school , student get advice about ____5____ study and finding jobs. All secoundary schools have a careers teacher. It's his/her job to ____6___ students withinformation about study and work. Career teacher will ___7____ visits to factories, officers,colleges, etc. They invite people from local ____8_____ to come to the school to talk to the students. They also help students to apply fro jobs.
- provide
- Oganizations
- further
- Arrange

9 Each of them is very clever,but not only the __________ one will win the prize.
1 better
2 good
3 best
4 much better
10 I got some new colored markers. I bought __________ yesterday.
1 it
2 They
3 them
4 themselves
11 Vichai : I don't completely understand the theory of evolution.
Somboon :____________
1 Either do I
2 Either I don't
3 Neither don't I
4 Neither do I
12 Ted looked depressed when he came out of his final exam.He___________ very well.
1 must not do
2 must not have done
3 must have done
4 must do
13 ____________ I was very tired, I worked until midnight.
1 Because
2 In spite of
3 Although
4 Because of
14 For number 14-17 Complete the dialogue with these words.
Beth: I hear you're going to get married soon _______14___________
Casey: ______15______ , next July. July1st. Can you come to the wedding?
Beth:_________16_______ . That's when we're away on holiday.
___________17_________ . we'll send you a wedding cake.
- That's very kind.
- That's right
- Oh, what a pity.
- Congratulations!
- Never mind.

18 Which is correct?
1 What is this word mean?
2 What do this word mean?
3 What does this word mean?
4 What is mean this word?

ข้อสอบเก่าภาษาอังกฤษหลักสูตรศิษย์การบินทหารบก

วันนี้เอาแนวข้อสอบเก่าวิชาภาษาอังกฤษมาฝากให้สมาชิกเว็บบล็อกของ ทหารพลร่ม ได้ลองทำดู เผื่อมีคนสนใจสอบเข้าเป็นศิษย์การบินทหารบก ศูนย์การบินทหารบก อ.เมือง จ.ลพบุรี เป็นข้อสอบเก่าสมัยนานมาแล้ว แต่คิดว่าอาจจะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่านก็เลยนำมาฝากกัน จำนวน 50 ข้อ ส่วนใหญ่ก็เป็นควารู้พื้นฐานคำศัพท์ (Vocabulary) ,และพื้นฐานไวยากรณ์ (Grammar)ในภาษาอังกฤษทั่วไป คิดว่าไม่ยากเท่าไร ลองๆ อ่านเล่นๆ พื้นๆ ความรู้ภาษาอังกฤษได้ดีพอสมควร ยังไม่มีเฉลยให้ในตอนนี้นะครับ ให้ทดสอบดูก่อน แล้วตอนหน้า (เวลามี) จะมาเฉลยให้ครับ หรือใครสนใจเฉลยจริง ๆ ก็คุยกันหลังไมค์ฝากข้อความไว้ที่ Post ได้ครับ
1 A ramp is................................................................
1 a hard surface where aircraft are parked.
2 a hard surface where aircraft are take off and land.
 3 a hard surface where aircraft are repaired.

2 Where does the pilot sit in an aircraft?
1 in the hanger
2 in the ramp
3 in the cockpit
ที่นั่งองนั่กบินอยู่ไหน ก็ต้องเป็น ห้องเครื่อง หรือ Cockpit ละครับ

3 Do you mind ................................. the window,please?
1 open
2 opening
3 opened
ข้อนี้ง่ายมาก เจอบ่อย กริาหลัง Mind ต้องเป็น -ing ครับ
4 You still remain ......................... a lot.
1 think
2 thought
3 thinking

5 The students are busy ...................................English?
1 studying
2 study
3 studied

6 He helps her..............................................
1 to work
2 working
3 work
ต้องท่องไว้ว่า have someone do sth และ have sth done by someone ครับ จากกฏที่ว่า ก็ต้องตอบข้อ 3
7 We had better ................................................out.
1 going
2 go
3 to go
จำไว้ว่าหลังคำแนะนำ had better ต้องตามด้วยกริยาปกติ go

8 John is a pilot ,and James is ............................
1 either
2  too
3 neither
เช่นกัน ด้วยกันคือ too

9 We haven't finished our work, and May hasn't ..................................
1too
2 either
3 neither

10 Mary doesn't go to school and .................................. does her sister.
1 too
2 either
3 neither

11 You choose to drink either coffee ....................... tea.
1 to
2 or
3 nor
ข้อนี้ง่ายจริง either ตามด้วย or หมายถึง อย่างใดอย่างหนึ่ง
12 If he came here, I ......................... see him.
1 will
2 would
3 shall

13 The teacher writes .............................. the black-board.
1 in
2 on
3 at

14 He sits .............................. you and me.
1 between
2 among
3 during

15 ................................... this time next week we will be in Bangkok.
1 At
2 By
3 On

16 He was standing .................................... me.
1 besides
2 among
3 beside

17 Tom will leave .............................. USA next week.
1 to
2 for
3 on

18 She .................................. living in cold climate.
1 use to
2 gets used to
3 is using to

19 This book ............................ me.
1 is interesting
2 interested
3 interests

20 The hen ................................... in the basket yesterday.
1 lay
2 lied
3 laid

21 When the department store is ....................... , so you can buy things cheaper than normal prices.
1 for sale
2 on sale
3 selling

22 The teacher got the students ..................... to the tape.
1 listen
2 to listen
3 listening

23 Yesterday ................................. was very cold here.
1 the climate
2 the weather
3 the air

24 Soldier ............................. their country.
1 protect
2 defend
3 prevent

25 The birds are jumping .........................
1 cross
2 a cross
3 crossing

26 Some people go on a picnic in ....................................
1 country
2 the country
3 a city

27 She acts as if she ....................................... his master.
1 is
2 were
3 was

28 How pretty she ..................................
1 was
2 were
3 is

29 He has spent an hour .......................................... the pen which he lost.
1 looking in
2 looking for
3 looking after

30 Last night several friends .............................. us.
1 called on
2 called in
3 called down

31 The game was ............................ on account of darkness.
1 called in
2 called off
3 called up

32 The meeting was ............................. until next week
1 put on
2 put out
3 put off

33 I ................................... and saw that Tom was sitting directly behind me.
1 turned on
2 turned around
3 turned off

34 John .............................. reading are paid no attention to any of us
1 went on
2 went up
3 went out

35 If I eat in every night, I
1 eat a lot
2 eat in a restaurant
3 eat at home

36 If I have got to leave early, I
1 should leave early
2 want to leave early
3 must leave early

37 If someone tells you to shut up, he wants you to
1 turn off the radio
2 stop talking
3 close the door

38 To ran across someone is to
1 run up to him
2 run over him
3 meet him unexpectedly

39 She sings well if she...................
1 tried
2 has tried
3 tries

40 John ........................... here before I came.
1 worked
2 has worked
3 had worked

41 We can buy soft drink at the .............................
1 pharmacy
2 soda fountain
3 bookstores

42 New York is ........................than Washingon.
1 more big
2 bigger
3 more bigger

43 Completely surrounded by our troops, the enemy finally ............................
1 gave off
2 gave in
3 gave out

44 If someone fools around a great deal, he
1 wastes much time
2 has a sense of humor
3 telephones his friends

45 To beat about the bush is to
1 go hunting
2 be direct in approaching something
3 be indirect in approaching something

46 When I travel , I prefer to travel ...........................
1 by air
2 on the air
3 up in the air

47 I ....................... the candy and gave each child a small piece.
1 broke out
2 broke through
3 broke up

48 He stood up for his friend means that he
1 went out with him
2 gave his friend his seat
3 defended him

49 When the driver slows up , he
1 gets nervous
2 stops
3 goes more slowly

50 If I set out early, I
1 wake up early
2 leave early
3 arrive early

ดูฟรี ธันเดอร์เบิร์ด การแสดงการบินผาดแผลง


หมู่บินผาดแผลง "ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds" หรือ "วิหคสายฟ้า" ซึ่งเป็นฝูงบินสาธิต ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา เดินทางมาถึงประเทศไทยเพื่อเตรียมความพร้อมทำการแสดงการบินผาดแผลง โดยจะมีการซ้อมใหญ่ในวันที่ 9 ตุลาคม และแสดงจริงในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ณ บริเวณอาคารคลังสินค้า ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งทั้งการซ้อมใหญ่และแสดงจริง ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds นั้น เปิดให้ประชาชนเข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ขอเชิญชวนชาวไทยมาชม เพราะเป็นโอกาสดีที่หาไม่ได้บ่อยนัก

ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds ชื่อนี้มาจากตำนานของพวกอินเดียแดงในสหรัฐอเมริกาที่ใช้เรียกชื่อนกนักล่า ที่มีลักษณะคล้ายกับนกอินทรีสีน้ำตาล โดยมีสิ่งพิเศษนอกจากจะเป็นนกอินทรีขนาดยักษ์แล้วยังมีฤทธิ์ที่เป็นสายฟ้าสะท้อนมาจากจงอยปากอันคมกริบเมื่อไรที่มันกระพือปีกเพื่อที่จะบินก็จะทำให้เกิดสายฟ้าซึ่งมีพลังมหาศาลสามารถทำลายทุกสิ่งรอบตัวลงไปได้ทันที ลักษณะทั่วไปคล้ายนกอินทรีสีน้ำตาล จงอยปากและกรงเล็บแหลมคมมาก ปลายปีกออกสีเลื่อมทองอาศัยอยู่บนยอดเทือกเขาสูงหรือในบริเวณที่เป็นหน้าผา บางครั้งรูปร่างก็คล้ายเหยี่ยวสีน้ำตาลซึ่งเป็นนกนักล่าที่มีขนาดใหญ่กว่านกทั่วไปมาก

ฝูงบิน ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds ได้ทำการเปลี่ยนแบบอีกครั้งจากเครื่องบินแบบ F - 16A เป็น F-16 C ในปี 2535 เนื่องจากฝูงบินส่วนใหญ่ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้เปลี่ยนแบบเป็นเครื่องบินแบบเดียวกันทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการส่งกำลังบำรุงและในฤดูกาลนั้นฝูงบิน ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds ได้นำเครื่องบินแบบ F-16C ไปแสดงการบินเป็นระยะเวลา 17 วัน ในประเทศแถบลาตินอเมริกา รวมทั้งสิ้น 75 เที่ยวบินต่อสายตาผู้ชมประมาณ 6.6 ล้านคน

สำหรับ ในปีนี้ ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds เลือกใช้เครื่องบินรบแบบ F-16 C/D Block 52 แบบใหม่โดยจะเปิดการแสดง 75 แห่ง สำหรับนอกประเทศสหรัฐฯ ปีนี้มีเพียงเปอโตรีโก้ ออสเตรเลีย กวม มาเลเซีย ไทย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้รับเกียรติเปิดการแสดงในครั้งนี้ มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับการแสดงการบินผาดแผลงสุดยอดของโลกจาก กองทัพอากาศสหรัฐฯของฝูงบินผาดแผลงวิหกสายฟ้า ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds โดยใช้เครื่องบินขับไล่แบบ F-16C ในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่สามที่เครื่องบินฝูงนี้จะมาแสดงในประเทศไทย (เดิมการแสดงการบินผาดแผลงครั้งที่สามได้ถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน)

และในครั้งนี้ (10 ตุลาคม 2552) อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นครั้งแรกในการแสดงนอกประเทศของธันเดอร์เบิร์ด ที่จะใช้เครื่องบินขับไล่แบบ F-16 CBlock 50/52 ที่ก้าวล้ำไปอีก (ชั้นเดียวกับที่เคยเสนอขาย ทอ.ไทย)และครั้งนี้จะเป็นการตื่นตาตื่นใจกับเที่ยวบินผาดแผลงที่สุดสวยและ สุดยอด(แอบทราบมาว่า จะมี คนไทย และนายทหารจากกองทัพอากาศไทย ได้รับเกียรติขึ้นไปบินด้วย) สำหรับการกำหนดวันแสดงอย่างไม่เป็นทางการนั้นฝูงบิน ธันเดอร์เบิร์ด Thunderbirds จะเดินทางมาถึงท่าอากาศยานดอนเมือง ในวันที่ 5 ตุลาคม 2552 โดยในช่วงดังกล่าวจะมีการบินซ้อมโชว์เหนือฟ้าดอนเมืองเป็นระยะ

ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน

คาร์บอมบ์เป็นว่าเล่น จับตา ยูเอ็น


สถานการณ์ “ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้” ของประเทศไทย ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง “เสียงปืน-เสียงระเบิด” ยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะ ซึ่งนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ถึงปัจจุบัน มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นแล้วกว่า 9,200 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 3,600 ราย บาดเจ็บกว่า 6,000 ราย มีผู้ ได้รับผลกระทบเป็นเหยื่อความรุนแรงแล้วกว่า 9,600 ราย และระยะหลังความรุนแรงก็มีรูปแบบที่น่ากลัวมากขึ้น...

การวางระเบิดแบบ “คาร์บอมบ์” เกิดขึ้นเป็นว่าเล่น

และนี่ก็อาจจะทำให้ “ยูเอ็น” ยิ่งจับจ้องมองไทย ?!?

ทั้งนี้ แว่ว ๆ มาตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณแล้ว และยิ่งมาหนาหูมากขึ้นในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่าทาง องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ต้องการจะจัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่สงบ” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ซึ่งก็มีข่าวว่ารัฐบาลไทยทั้งยุคก่อน-ยุคนี้แสดงท่าทีไม่ยินยอม โดยกับรัฐบาลปัจจุบันก็มีรายงานข่าวว่า รัฐบาลไม่ตอบรับยูเอ็นในเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าปัญหา “ไฟใต้” เป็นเรื่องของประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องของยูเอ็น แต่กระนั้น...ต่อไปจะไม่มีศูนย์ยูเอ็นในพื้นที่ไฟใต้...เรื่องนี้อาจจะยังไม่แน่ ??

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า... เป็นเรื่องถูกต้องที่รัฐบาลไทยตอบปฏิเสธทางยูเอ็นเกี่ยวกับการขอจัดตั้งหน่วยงานในพื้นที่ที่เกิดเหตุไม่สงบ เนื่องจากหากยูเอ็นมีการเข้ามาจัดตั้งหน่วยงานเหล่านี้ ก็จะเป็นการ “ตอกย้ำ” ภาพปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ให้รุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วในหลายพื้นที่ทั่วโลก

หากปล่อยให้ยูเอ็นมีการจัดตั้งขึ้นจริง ๆ จะยิ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์-ความเชื่อมั่นของประเทศไทยในสายตานานาประเทศ!! ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วก็ไม่เห็นด้วยกับการจะจัดตั้งศูนย์ดังกล่าว เพราะจะเป็นการ “ยกระดับ” แสดงให้ทั่วโลกเข้าใจว่าปัญหาในภาคใต้ของประเทศไทยเป็นเรื่องสากล และประเทศไทยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จนหน่วยงานใหญ่ระดับโลกอย่างองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็นต้องเข้ามา เหมือนในหลาย ๆ พื้นที่ทั่วโลก ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็ย่อมจะ ไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย อย่างแน่นอน

“ถ้ายูเอ็นจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ความไม่สงบขึ้นมา ก็เท่ากับเป็นการสะท้อนให้เห็นความไร้น้ำยาในการแก้ปัญหา ในการบริหารจัดการกิจการภายในของรัฐบาล แต่ที่พูดแบบนี้ก็ไม่ได้มองว่าการเข้ามาจัดตั้งศูนย์ของยูเอ็นจะมีเจตนาแอบแฝงแต่อย่างใด ซึ่งเขาอาจจะหวังดีก็ได้ เพียงแต่อาจไม่เป็นผลดีกับความเชื่อมั่น กับความมั่นคงของประเทศไทย” ...ศ.ดร.ไชยวัฒน์กล่าว

ขณะที่ ผศ.ดร.วิบูลย์พงศ์ พูนประสิทธิ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ระบุผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... เรื่องปัญหาภาคใต้นี้เป็นเรื่องภายใน ประเทศไทยก็ควรจะจัดการแก้ไขปัญหาภายในของเรากันเอง ซึ่งปัญหาในภาคใต้นั้นเป็นเรื่องความขัดแย้งทางวัฒนธรรม ความรู้สึกต่างกันทางประวัติศาสตร์ ขนบธรรม เนียม ซึ่งทุกรัฐบาลเองก็มองว่าเป็นปัญหาใหญ่ และการแก้ไขก็ต้องเดินไปโดยอาศัยเวลา

นักวิชาการรายนี้บอกอีกว่า... โดยส่วนตัวแล้วก็มองว่าการที่ ยูเอ็นจะขอจัดตั้งศูนย์ทำงาน ทางหนึ่งก็อาจจะมีเจตนาที่ดีที่ต้องการ เข้ามาเป็นคนกลางเพื่อการเจรจาหรือเพื่อการแก้ไขปัญหา แต่ขณะเดียวกัน อาจเป็นเรื่องที่ทำให้ปัญหาภายในของประเทศไทยกลายเป็นเรื่องสากลระหว่างประเทศ !!

กับประเด็นนี้ โดยความรู้สึกคนไทยเองก็เชื่อว่าส่วนใหญ่คงไม่อยากและคงไม่ยอมให้เกิดขึ้น เพราะอาจจะทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย ทั้งในเรื่องความมั่นคง เรื่องของเศรษฐกิจการลงทุน ดังนั้น หากยูเอ็นแสดงเจตจำนงในเรื่องนี้ ทางประเทศไทยเองก็คงต้องขอดูวัตถุประสงค์หลักของการขอเข้ามาจัดตั้งเสียก่อน ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ? จำเป็นหรือไม่จำเป็น ? เพราะ มีผลกระทบหลายด้าน

จริง ๆ แล้วยูเอ็นก็มีการตั้งสำนักงานในประเทศไทยมานานมากแล้ว แต่ถ้าจะมีหน่วยงานย่อยจัดตั้งขึ้นอีก ทางไทยก็ต้องศึกษาและดูวัตถุประสงค์ที่แท้จริงก่อน ซึ่งในสหรัฐอเมริกาเมื่อราวปี ค.ศ. 1960-1970 ก็เคยมีหน่วยงานของยูเอ็นเข้าไปตั้งเพื่อแก้ปัญหาระหว่างคนผิวขาว-ผิวดำ แต่ในไทยคงเป็นเงื่อนไขคนละกรณี

“เรื่องนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้ายูเอ็นจัดตั้งศูนย์ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เหมือนเป็นการชักชวนให้หลาย ๆ ประเทศเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งหากทางยูเอ็นดื้อดึงจะตั้งให้ได้ เรื่องนี้ก็อาจ จะกลายเป็นการคุกคามความรู้สึกของคนไทยได้เช่นกัน” ...ผศ.ดร. วิบูลย์พงศ์ระบุ

ทั้งนี้ แว่ว ๆ ว่าเร็ว ๆ นี้จะมีทูตต่างประเทศลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย เพื่อดูสถานการณ์-ดูการแก้ปัญหาของไทย อีกคณะหนึ่ง ซึ่งจะมีผลหรือไม่มีผลถึงท่าทีของยูเอ็นต่อไทยด้วยหรือไม่อย่างไร...ยังไม่รู้ ?

ที่รู้ ๆ คือเสียงบึ้ม “คาร์บอมบ์” ทาง “ยูเอ็น” ได้ยินแน่

และก็น่าคิด-น่าติดตามว่ายูเอ็นจะมีท่าทีใด ๆ ต่อไทยอีก

ขณะที่ “เสียงบึ้มกลางเมือง” ก็เกิดถี่เป็นว่าเล่น ?!?!?.

วิชาศาสนาและศีลธรรม

องค์ประกอบแห่งความมั่นคงของชาติ ศาสนา กับความมั่นคงของชาติ
๑ เศรษฐกิจ
๒ สังคม
๓ การเมืองการปกครอง
๔ การทหาร
 
การสร้างความความมั่นคงให้แก่ชาติบ้านเมืองนั้น ปัจจัยสำคัญอยู่ที่คนในชาตินั้นๆ ว่าจะมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ประเทศใดประชาชนของชาติมีประสิทธิภาพ การสร้างความเจริญมั่นคงก็ย่อมเป็นไปได้โดยง่าย ตรงกันข้ามถ้าคนในชาติขาดคุณธรรม การพัฒนาให้เกิดความมั่นคงก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เลย
ศาสนาเป็นเรื่องของคุณธรรม ของอุดมการณ์เมื่อเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ใดย่อมกล่อมเกลาหล่อหลอมให้บุคคลผู้นั้นเป็นคนดีมีคุณภาพ
หลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่เกื้อกูลต่อการสร้างความมั่นคงของชาติมีหลายประการ จะนำมากล่าวเฉพาะที่จำเป็นบางประการ ดังต่อไปนี้
๑ ธรรมมะเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ก.หลักความสุขของผู้ครองเรือน
๑ สุขเกิดแต่การมีทรัพย์
๒ สุขเกิดแต่การใช้จ่ายทรัพย์
๓ สุขเกิดแต่การไม่เป็นหนี้
๔ สุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ
ข. หลักกาแสวงหาทรัพย์
๑ ถึงพร้อมด้วยความหมั่น
๒ ถึงพร้อมด้วยการรักษา
๓ คบมิตรดี
๔ เป็นอยู่พอดี
ค.หลักการใช้จ่ายทรัพย์
๑ เลี้ยงตัว บิดา มารดา บุตร ภรรยาและคนอาศัยให้เป็นสุข
๒ เลี้ยงเพื่อนฝูงให้มีสุข
๓ บำบัดอันตรายที่เกิดขึ้นแต่เหตุต่างๆ
๔ ทำพลีกรรม (การเสียสละ) ๕ อย่าง คือ
ก.ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ
ข. อติถิพลี ต้อนรับแขก
ค.ปุพพเปตพลี บุญอุทิศให้ผู้ตาย
ง. ราชพลี บำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร
จ.เทวตาพลี ถวายเทวดา คือสักการะ บำรุง หรือทำบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชาตามความเชื่อถือ
๕ อุปถัมภ์บำรุงสมณะพราหมณ์ ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ
ง.หลักการรักษาสมบัติ
ก.เว้นอบายมุข ๖
1. ติดสุราและของมึนเมา
2. ชอบเที่ยวกลางคืน
3. ชอบเที่ยวดูการละเล่น
4. ติดการพนัน
5. คบคนชั่ว
6. เกียจคร้านการทำงาน
ข. หลักธรรมของตระกูลที่ตั้งมั่น
1. ของหายของหมด รู้จักหามาไว้
2. ของเก่าของชำรุด รู้จักบูรณะซ่อมแซม
3. รู้จักประมาณในการกินการใช้
4. ตั้งผู้มีศีลธรรมให้รับผิดชอบในครอบครัว
๒.ธรรมะเพื่อความมั่นคงทางสังคม
ก.พรหมวิหาร ๔
1. เมตตา ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข
2. กรุณา ความสงสารเมื่อผู้อื่นตกทุกข์
3. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
4. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง เมื่อเหลือที่จะช่วย เมื่อหมดห่วง หรือพิจารณาความดีความชอบ การตัดสินความผิดของผู้น้อย

ข. เบญจศีล
1. เจตนางดเว้นจากการฆ่าสัตว์
2. เจตนางดเว้นจากการลักทรัพย์
3. เจตนางดเว้นจากการผิดประเวณี
4. เจตนางดเว้นจากการกล่าวเท็จ
5. เจตนางดเว้นจากการดื่มน้ำเมา
ค.เบญจธรรม
1. เมตตา กรุณา
2. สัมมาอาชีพ
3. กามสังวร
4. สัจจะ วาจา
5. สติ
 
๓.ธรรมะเพื่อความมั่นคงทางการเมือง
ก.พรหมวิหาร ๔
1. เมตตา
2. กรุณา
3. มุทิตา
4. อุเบกขา
ข. เว้นอคติ ๔
1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะชอบ
2. โทสาคติ ความลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ ความลำเอียงเพราะหลง หรือเขลา
4. ภยาคติ ความลำเอียงเพราะขลาดกลัว
ค.ทศพิศราชธรรม
1. ทาน ให้ปันช่วยประชา
2. ศีล รักษาความสุจริต
3. ปริจจาคะ บำเพ็ญกิจด้วยสละ
4. อาชชวะ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง
5. มัททวะ อ่อนโยนเข้าถึงคน
6. ตปะ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส
7. อักโกธะ ถือเหตุผลไม่โกรธา
8. อวิหิงสา มีอหิงสานำร่มเย็น
9. ขันติ ชนะเข็นด้วยขันติ
10. อวิโรธนะ มีปฏิบัติคลาดจากธรรม
ง.จักรวรรติวัตร ๕
1. ธรรมมาธิปไตย คือธรรมเป็นใหญ่
2. ธรรมิลารักขา ให้ความครองโดยธรรม
3. มาอธรรมการ ห้ามกั้นการอาธรรม์
4. ธรานุประทาน ปันทรัพย์เฉลี่ยแก่ผู้ไร้ทรัพย์
5. สมณะพราหมณ์ปริปุจฉา สอบถามปรึกษา กับพระสงฆ์และนักปราชญ์
๔.ธรรมะเพื่อความมั่นคงทางทหาร
ก.พรหมวิหาร ๔
5. เมตตา ความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความสุข
6. กรุณา ความสงสารเมื่อผู้อื่นตกทุกข์
7. มุทิตา ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
8. อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง เมื่อเหลือที่จะช่วย เมื่อหมดห่วง หรือพิจารณาความดีความชอบ การตัดสินความผิดของผู้น้อย
 ข. สังคหวัตถุ ๔
1. ทาน การให้ปันของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน
2. ปิยวาจา เจรจาด้วยคำที่น่ารัก
3. อัตถจริยา บำเพ็ญเป็นประโยชน์
4. สมานัตตา วางตัวเหมาะสม
ค.สารณียธรรม ๕
1. เมตตากายกรรม ตั้งกายกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา
2. เมตตาวจีกรรม ตั้งวจีกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา
3. เมตตามโนกรรม ตั้งมโนกรรมที่ประกอบด้วยเมตตา
4. สาธารณโภคี แบ่งปันลาภผลที่หาได้มาโดยชอบธรรมให้ได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน
5. สีตสามัญญตา มีความประพฤติสุจริตดีงามเสมอกัน
 ง.อธิฐานธรรม ๔
1. ปัญญา ไม่ละเลยการใช้ปัญญา
2. สัจจะ อนุรักษ์สัจจะ
3. จาคะ คอยเพิ่มพูนจาคะ
4. อุปสมะ ฝึกอบรมตนให้ถึงสันติได้
 จ.บริจาค ๓
1. เสียสละทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ
2. เสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
3. เสียสละทุกอย่างเพื่อรักษาธรรม
ฉ. อภิณหปัจจเวกขณะ (พิจารณาเนื่องๆ) ๕
1. ชราธัมมตา เรามีความแก่เป็นธรรมดา
2. พยาธิธัมมตา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา
3. มาณธัมมตา เรามีความตายเป็นธรรมดา
4. ปิยมนาปวินาภาวตา เราจะต้องประสบความพลัดพรากจากของรักของชอบใจไปทั้งสิ้น
5. กัมมัสสกตา เรามีกรรมเป็นของตน

แนวข้อสอบวิชาศาสนาและศีลธรรม

ข้อตกลง แบบทดสอบนี้จัดทำขึ้นมาสำหรับผู้สนใจทุกท่านโดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลเปิดทั่วไปทั้งจากตำรา และอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญซึ่งผู้เขียนคิดว่าน่าจะมีประโยชน์และเป็นความรู้พื้นฐานสำหรับผู้กำลังเตรียมตัวสอบทุกท่าน อนึ่งข้อมูลนี้ท่านสามารถนำไปใช้งานได้อย่างอิสระเผยแพร่ต่อได้โดยเสรี ขอบคุณครับ

1. ข้อใดเป็นสาเหตุของการกำหนดให้มีการจำพรรษา
a) ผู้คนเพ่งโทษติเตียนพระสงฆ์ ว่าในฤดูฝนต้นกล้าข้าว ทีชาวบ้านเพิ่งลงมือไถหว่าน ต้นหญ้าที่ขึ้นเขียวขจี รวมทั้งสัตว์เล็กๆ ถูกเหยียบย่ำ ขณะพระสงฆ์จาริกไป ทำให้ได้รับความเสียหาย พระพุทธองค์สดับแล้วจึงอนุญาตให้พระสงฆ์จำพรรษาได้ ในตลอดช่วงฤดูฝน
b) เป็นความต้องการของพระพุทธเจ้า เพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักภาวนาและรักษาศีล
c) เป็นความต้องการของชาวบ้าน เพื่อให้พระสงฆ์ได้หยุดพักภาวนาและรักษาศีล
d) ไม่มีข้อถูก

2. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับ ปุริมิกา คือวันเข้าพรรษาต้น
a) หลังวันอาสาฬหะผ่านไปแล้ว 1 เดือน ซึ่งจะตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี และจะออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
b) หลังวันอาสาฬหะแล้ว 1 วัน ตรงกับแรม 11ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และกำหนดให้ออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11

3. ข้อใดกล่าวถูกต้อง เกี่ยวกับ วันเข้าพรรษาหลัง ปัจฉิมพรรษา
a) หลังวันอาสาฬหะผ่านไปแล้ว 1 เดือน ซึ่งจะตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 9 ของทุกปี และจะออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12
b) หลังวันอาสาฬหะแล้ว 1 วัน ตรงกับแรม 11ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี และกำหนดให้ออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11

4. พุทธศาสนิกชนควรปฎิบัติอย่างไร ในวันเข้าพรรษา
a) ทำบุญตักบาตร ฟังธรรมเทศนา นำเทียนพรรษา หลอดไฟ ทำบุญค่าไฟฟ้า แก่พระสงฆ์
b) ทำบุญตักบาตร เวียนเทียนที่วัด นำเทียนพรรษา หลอดไฟ ทำบุญค่าไฟฟ้า แก่พระสงฆ์
c) ทำบุญตักบาตร ฟังธรรมเทศนา สมาทานรักษาศลีให้เคร่งครัด งดเว้นอบายมุขต่างๆ นำเทียนพรรษา หลอดไฟ ทำบุญค่าไฟฟ้า แก่พระสงฆ์
d) งง

5. พิธปวารณา คือ
a) การว่ากล่าวตักเตือนกันของพระสงฆ์ ในวันเข้าพรรษา
b) การว่ากล่าวตักเตือนกันของพระสงฆ์ ในวันออกพรรษา
c) การว่ากล่าวตักเตือนกันของพระสงฆ์ ในวันพระ

6. การตักบาตรเทโวโรหนะ จัดทำขึ้นในวันไหน เพื่ออะไร
a) ก่อนเข้าพรรษา เพื่อส่งพระพุทธเจ้าไปเยี่ยมพระมารดาบนสวรรค์
b) หลังวันออกพรรษา เพื่อต้อนรับการเสด็จกลับโลกของพระพุทธเจ้าหลังไปเยี่ยมพระมารดาบนสวรรค์

7. วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ ณ.เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ ตอนต้นพุทธกาล เป็นวันที่มีการประชุมสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า “ จาตุรงคสันนิบาต” และเป็นวันที่ทรงแสดง“โอวาทปาติโมกข์ ”เรียกว่า “วันปฐมโอวาท”
a) วันฆาฆบูชา
b) วันวิสาขบูชา
c) วันอาฬหบูชา
d) วันเข้าพรรษา


8. วันที่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ๔ อย่างในวันนี้ คือ
๑. มีพระอรหันต์ มาชุมนุมกันถึง ๑๒๕๐ รูป
๒. พระสาวกทุกรูปล้วนเป็นพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้าบวชให้ทั้งสิ้น เรียกว่าเป็น “เอหิภิกขุอุปสัมปทา”
๓. เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดมาชุมนุมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย
๔. เป็นวันที่ดวงจันทร์เสวยมาฆฤกษ์เต็มดวง

a) วันฆาฆบูชา
b) วันวิสาขบูชา
c) วันอาฬหบูชา
d) วันเข้าพรรษา

9. "วันพระพุทธ" ตรงกับวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 หากปีใดมีเดือนอธิกมาศ คือมีเดือน 8 สองหน วันวิสาขบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 7 ถือได้ว่าเป็นวันแห่งพระพุทธ ซึ่งตรงกันกับ ทั้งวันประสูติ ตรัสรู้และวันปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวัน ดังนี้
a) วันฆาฆบูชา
b) วันวิสาขบูชา
c) วันอาฬหบูชา
d) วันเข้าพรรษา

10. วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 พระองค์ทรงแสดงปฐมเทศนาเป็นการ เทศน์ครั้งแรกของพระองค์ เรียกว่า “ ธัมมจักกัปปวัตนสูตร”กับปัญจวัคคีย์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ป่าสวนกวาง) เมืองสาวัตถี กรุงพารานาสี และ โกณฑัญญพราหม์ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุโสดาปัตติผล ขอบวชเป็นพระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา เรียกว่า วันอาสาฬหบูชา เป็นวันที่มีพระรัตนไตรครบ 3 ประการคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงถือได้ว่าวันนี้เป็นวันแห่งพระสงฆ์ก็ว่าได้
a) วันฆาฆบูชา
b) วันวิสาขบูชา
c) วันอาฬหบูชา
d) วันเข้าพรรษา

11. พุทธศาสนิกชนควรทำบุญตักบาตร ฟังธรรมเทศนา ตอนกลางคืนนำพาดอกไม้ธูปเทียนไปเวียนเทียน โดยเดินเวียนขวา ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์ จนครบ ๓ รอบ
a) วันฆาฆบูชา
b) วันวิสาขบูชา
c) วันอาฬหบูชา
d) วันเข้าพรรษา

12. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการประสูติของพระพุทธเจ้า
a) ทรงประสูติที่ใต้ต้นสาระ(ต้นรัง)ที่สวนลุมพินีวัน
b) ทรงประสูติที่ใต้ต้นโพธิ ที่สวนลุมพินีวัน
c) ทรงประสูติที่ใต้ต้นสาระ(ต้นรัง)ที่สวนราชดำเนิน

13. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
a) เมื่ออายุได้ 27 ปี หลังออกบวชได้ 6 ปี
b) เมื่ออายุได้ 28 ปี หลังออกบวชได้ 6 ปี
c) เมื่ออายุได้ 29 ปี หลังออกบวชได้ 6 ปี
d) เมื่ออายุได้ 30 ปี หลังออกบวชได้ 6 ปี

14. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการปรินิพานของพระพุทธเจ้า
a) ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ.เมืองเวสาลี กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ใต้ต้นรังคู่ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เมื่ออายุ 70 ปี ก่อนพุทธกาล 1 ปี
b) ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ.เมืองเวสาลี กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ใต้ต้นรังคู่ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เมื่ออายุ 80 ปี ก่อนพุทธกาล 1 ปี
c) ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ.เมืองเวสาลี กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ใต้ต้นรังคู่ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เมื่ออายุ 90 ปี ก่อนพุทธกาล 1 ปี
d) ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ.เมืองเวสาลี กรุงกุสินารา แคว้นมัลละ ใต้ต้นรังคู่ ในวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 เมื่ออายุ 100 ปี ก่อนพุทธกาล 1 ปี

15. การอาราธนาศีลคือ

a) การเชื้อเชิญพระสงฆ์ในพิธีให้ฉันอาหาร หลังจากนั้น ให้สวดพระปริตร หรือให้แสดงธรรม
b) การเชื้อเชิญพระสงฆ์ในพิธีให้ศีล ให้สวดพระปริตร หรือให้แสดงธรรม
c) การเชื้อเชิญพระสงฆ์ในพิธีให้เดินทางกลับวัด
d) งง

16. ขณะที่พระสวดถึงคำว่า “ยถาวาริวหา...............
a) เจ้าภาพจะเริ่มกรวดน้ำ ให้กรวดน้ำให้เสร็จก่อนจบบทยถาที่คำว่า “……………มณิโชติรโส ยถา”
b) เจ้าภาพจะเริ่มตักบาตรให้เสร็จก่อนจบบทยถาที่คำว่า “……………มณิโชติรโส ยถา”
c) เจ้าภาพจะเริ่มถวายปัจจัย ให้เสร็จก่อนจบบทยถาที่คำว่า “……………มณิโชติรโส ยถา”
d) งง

17. คำอาราธนาศีล
a) วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
b) มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ,
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ, ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ,
c) พรัหมา จะ โลกาธิปะติ , สะหัมปะติ,
กัตอัญชลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง ฯ
d) งง

18. คำอาราธนาพระปริตร
a) วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
b) มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ,
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ, ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ,
c) พรัหมา จะ โลกาธิปะติ , สะหัมปะติ,
กัตอัญชลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง ฯ
d) งง

19. คำอาราธนาธรรม
a) วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะทุกขะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะภะยะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
วิปัตติปะฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา
สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลัง
b) มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ,
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ, ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต (วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ) ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ,
c) พรัหมา จะ โลกาธิปะติ , สะหัมปะติ,
กัตอัญชลี อันธิวะรัง อะยาจะถะ,
สันตีธะ สัตตาปปะระชักขะชาติกา,
เทเสตุ ธัมมัง อะนุกัมปิมัง ปะชัง ฯ
d) งง

เฉลย (คนที่จะสำเร็จจะไม่ดูเฉลยก่อนนะครับ พิมพ์ออกมาแล้วปิดเฉลยก่อนทำนะครับ ขอให้โชคดี)

1. (a)
2. (b)
3. (a)
4. (c)
5. (b)
6. (b)
7. (a)
8. (a)
9. (b)
10. (c)
11. (a)
12. (a)
13. (c)
14. (b)
15. (b)
16. (a)
17. (b)
18. (a)
19. (c)

วิชามารหลักการจำข้อสอบเข้าเสธ

สูตรในการจำ
สำหรับส่วนนี้เป็นพื้นฐานเอานะครับ เนื่องจากมันมีหลายวิชานะครับ แต่ละวิชาก็มีความแตกต่างกันออกไป สูตรที่ว่านี้ก็อาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วก็ได้ สมัยเรียนชั้นนายพัน (ขออนุญาตพาดพิง) ผมเองได้ยินอาจาร์แกะ พันโทณรงค์กร ช่างแกะ ท่านพูดประจำเลย ก็ยังแอบขำๆ ว่าตลกดี555 แต่มันก็มีประโยชน์ดีนะครับ สูตรที่ว่า ใช้ในวิชาการข่าวกรองนะครับ นั้นก็คือ การเขียนหัวข้อของ

การประมาณการข่าวกรอง "ภูสมิงวิงไปขี้"
ภู = ภูมิประเทศและสภาพของพื้นที่ปฏิบัติการ
สมิง = สถานการณ์ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายข้าศึก
วิ่ง = วิเคราะห์สภาพพื้นที่ปฏิบัติการ
ไป= การเปรียบเทียบหนทางปฎิบัติ
ขี้= การให้ข้อเสนอแนะ
ปล.หวังว่าคงไม่ได้เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน นะ เอาเป็นว่าคนรู้แล้วก็ไม่เป็นไร ส่วนใครที่ยังไม่รู้ก็ท่องจำเอานิดหนึ่งละกัน เพราะวันหนึ่งข้างหน้ามันอาจมีประโยชน์กับตัวท่านก็ได้ 5555+++

METT-T

สูตรนี้เป็นการแปลงหัวข้อการพิจารณา โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษมาเป็นตัวช่วยจำ (พวกถนัดภาษาอังกฤษจะได้เปรียบ ..แต่ถ้าไม่ถนัดก็ไม่เป็นไรท่องๆ ไป เดี๋ยวก็จำได้คือกัน)
M=Mission =ภารกิจ
E=Enemy=ข้าศึก
T=Terrain =ภูมิประเทศ
T=Troop = กำลังฝ่ายเรา
T=Time = เวลา
OCOKA

สูตรนี้เป็นการแปลงหัวข้อการพิจารณา โดยใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษมาเป็นตัวช่วยจำ (พวกถนัดภาษาอังกฤษจะได้เปรียบ ..แต่ถ้าไม่ถนัดก็ไม่เป็นไรท่องๆ ไป เดี๋ยวก็จำได้คือกัน)
O=Observation = การตรวจการณ์และพื้นการยิง
C=Concealment = การกำบังและซ่อนพราง
O=Obstacle = สิ่งกีดขวาง
K=Key and Divisive Terrain =ภูมิประเทศสำคัญ
A= Avenue of Approaching = แนวทางการเคลื่อนที่
C3I
C=Command =การบังคับบัญชา
C=Control=การควบคุม
C=Communication=การติดต่อสื่อสาร
I=Intelligent =การข่าวกรอง
5W1H
Who=ใคร
What=ทำอะไร
When=เมื่อไหร่
Where=ที่ไหน
Why=เพื่ออะไร
How=ทำอย่างไร
อ่านมาถึงตอนนี้อย่าพึ่งงงนะครับ เอาเป็นว่าถ้าใครไม่ค่อยถนัดภาษา E ก็ค่อยๆ ดูไปละกัน แล้วมันก็จะค่อยๆ คุ้นๆ ไปเองแหละ อันนี้ถือเป็นพื้นฐานเลยนะครับผมว่าถ้าใครอยากจะสอบเข้าโรงเรียนเสธ จำเป็นต้องรู้เลยครับ ส่วนรายละเอียดของแต่ละอันและแนวทางการนำไปใช้ ตอนอ่านๆ หนังสือดูแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจไปเองละครับ 555+++ ยังไม่หมดนะครับ ยังมีบางส่วนที่อยากแนะนำอีกเพราะต้องเจอะมันแน่ๆ ในข้อสอบ BTW เอาเป็นว่าขอทำความเข้าใจนิดหนึ่งว่าที่มันต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ก็เพราะว่าหลักนิยมการรบของเราก็น่าจะแปลมาจากตำรา FM ของฝรั่งนะครับ (อันนี้ผมคิดเอาเองนะครับ ถูกผิดยังงัยไม่รู้)
BOS
HVT
NAI
COOT
IPB
BHOL

อินเตอร์เน็ตกับการก่อการร้ายสากล

อินเตอร์เน็ตกับการก่อการร้ายสากล
โลกของเราในยุคปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ยุคของโลกาภิวัฒน์ (Globalization)เป็นสังคมโลกในยุคที่ 4 เป็นสังคมของข้อมูลข่าวสาร (Information Technology )ซึ่งมีการบูรณาการระบบการติดต่อสื่อสารต่างๆเข้าด้วยกันทำให้เกิดการไหลของข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว โดยอาศัยระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตามความเจริญก้าวหน้าของระบบการติดต่อสื่อสารดังกล่าวก็ได้เปิดโอกาสและช่องทางให้กลุ่มก่อการร้ายอาศัยสื่ออินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร การประสานงานและการวางแผนก่อการร้าย ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของโลก จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงรูปแบบและวิธีการของกลุ่มก่อการร้าย เพื่อที่จะได้แนวทางในการแก้ปัญหาหรือลดโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย
โดยธรรมชาติของอินเตอร์เน็ต เป็นสถานที่ที่มีความเหมาะสมเป็นอย่างมากในการดำเนินกิจกรรมต่างๆขององค์กรก่อการร้ายต่างๆ เนื่องจาก สะดวกต่อการเข้าถึง มีกฎข้อบังคับน้อย ไม่มีการตรวจสอบ หรือการควบคุมจากรัฐบาล  จำนวนของผู้ชมมหาศาลจากทั่วโลก  การไหลของข้อมูลที่รวดเร็ว  ราคาประหยัดในการดำเนินการจัดทำและดูแล  และ สามารถสื่อสารได้ในระบบมัลติมีเดีย ข้อความ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว วีดีโอ ซึ่งผู้ใช้สามารถเข้าถึงและดาวโหลดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เริ่มจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ วิตกกังวลในจุดอ่อนของระบบการติดต่อสื่อสารในอันที่จะรับมือกับภัยคุกคามอาวุธนิวเคลียร์ ภายหลังยุคของสงครามเย็นในช่วงปี ค.ศ.1970s จึงได้ตัดสินใจที่จะเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายเพื่อการติดต่อสื่อสาร นับจากนั้นเป็นต้นมาระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายได้มีการใช้งานในองค์กรต่างๆ และได้รับการพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพเพื่อการใช้งานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี และได้ขยายตัวเข้าสู่ภาคธุรกิจและการค้าในช่วงปลายปี ค.ศ.1980s และในช่วงกลางปี ค.ศ.1990s  ระบบอินเตอร์เน็ตได้มีการเชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกันมากกว่า 18,000 เครือข่ายทั่วโลก และจำนวนดังกล่าวก็มีจำนวนเพิ่มสูงมากขึ้นทุกๆปีตามลำดับ โดยมีจำนวนของผู้ใช้งานในช่วงต้นปีของศตวรรษที่ 20 ประมาณมากกว่าหนึ่งพันล้านคนทั่วโลก
ผู้ก่อการร้ายใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไร
การใช้งานอินเตอร์เน็ตของกลุ่มก่อการร้ายมีรูปแบบพลวัตร (Dynamic) คือมีการเปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา มีการผุดขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วหรือคงอยู่ ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกปิดและการลวงถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของกลุ่ม อย่างไรก็ตามเราสามารถระบุการใช้งานอินเตอร์เน็ต ของกลุ่มก่อการร้ายได้ออกเป็น 8 แนวทางซึ่งมีการทับซ้อนกันบางโอกาส มีการใช้งานคู่ขนานกันไปตามวัตถุประสงค์ของกลุ่ม ดังนี้
สงครามปฏิบัติการจิตวิทยา
การบิดเบือนข้อเท็จจริง การเผยแพร่ภัยคุกคามให้เกิดความหวาดกลัวและสิ้นหวัง เช่นการสังหารผู้สื่อข่าวชาวอเมริกันอย่างโหดเหี้ยม ภาพวิดีโอเทปที่ถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของผู้ก่อการร้ายหลายๆ แห่ง  ผู้ก่อการร้ายสามารถสร้างความหวาดกลัวผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพื่อผลทางจิตวิทยา ความหวาดกลัวภัยอินเตอร์เน็ต ถูกกระทำให้เกิดขึ้นจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการโจมตีต่อระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายของสายการบินต่างๆ  ซึ่งอาจส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมการบินขัดข้อง หรือโจมตีระบบเศรษฐกิจของชาติ โดยการเจาะระบบเข้าไปทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหุ้น  โดยอาศัยการไหลของข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วและต่อเนื่อง จนทำให้สาธารณชนเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริง
กลุ่มอัลเคด้า ได้ผสมผสานการโฆษณาชวนเชื่อโดยอาศัยเทคโนโลยีในการสร้างรูปแบบสงครามปฏิบัติการจิตวิทยา อุสมา บิน ลาเดน และพรรคพวก มุ่งความพยายามของการสร้างการโฆษณาชวนเชื่อบน อินเตอร์เน็ต สถานที่ซึ่งผู้เยี่ยมชมจากทั่วโลกสามารถเข้าถึงเพื่อสร้างความความเห็นใจ ในรูปแบบของสื่อชนิดต่างๆ เช่น ข้อความ วิดีโอเทปและ ไฟล์เสียง CD –ROMs ,DVDs, ภาพ และประกาศประชาสัมพันธ์ต่างๆ
เป็นที่น่าสนใจว่า กลุ่มอัลเคด้า สามารถอ้างต่อเนื่องในเวบไชต์ ถึงการทำลายล้างตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ Center has inflicted psychological damage พอๆกับการสร้างความเสียหาย concrete damage, ในระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ การโจมตีตึกแฝดดังกล่าวถือเป็นการกระทำต่อเครื่องหมายการค้าของสหรัฐฯ หลักฐานที่มีประสิทธิภาพคือการอ่อนค่าลงของเงินดอลล่าห์สหรัฐฯ ,การตกลงของตลาดหุ้น และการสูญเสียความเชื่อมั่นของระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ และอื่นๆ ทั่วโลก นอกจากนี้ยังสามารถเผยแพร่ถึงการกระทำดังกล่าวว่า สหรัฐอมริกาถูกโต้ตอบโดยอำนาจที่ยิ่งใหญ่จากพระเจ้า
สาธารณะและการโฆษณาชวนเชื่อ
อินเตอร์เน็ตมีความสำคัญและเพิ่มโอกาสของกลุ่มก่อการร้ายที่จะแย่งชิงสาธารณะ โดยคาดหวังชัยชนะเหนือสาธารณะในปัญหาและกิจกรรมที่ดำเนินอยู่ สมัยก่อนการต่อสู้ต้องพึ่งพาสื่อจำพวก วิทยุ โทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งปกติแล้วยากที่กลุ่มก่อการร้ายจะเข้าถึง จนกระทั้งอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น ความจำกัดดังกล่าวได้หมดไป ปัจจุบันกลุ่มก่อการร้ายต่างๆได้มีเว็บไซต์ของตนเองเพื่อเผยแพร่ข่าวสาร สามารถที่จะนำเสนอและควบคุมข่าวสารได้อย่างไม่จำกัด สร้างภาพที่ยุติธรรมและโจมตีศัตรูได้ เว็บไซต์ของกลุ่มก่อการร้ายปกติแล้วจะนำใช้เทคนิคในการนำเสนอ 3 แนวทาง
ประการแรกคือการกล่าวอ้างถึงความจำเป็นและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความรุ่นแรง ด้วยวิธีการนี้ จะทำให้สื่อถึงภาพองค์กรที่มีขนาดเล็ก อ่อนแอ และถูกเอารัดเอาเปรียบ
ประการที่สองจะเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมของการใช้ความรุ่นแรงเพื่อ สมาชิกของกลุ่มจะถูกนำเสนอในฐานะของนักสู้เพื่ออิสรภาพ แรงกระตุ้นให้ต่อสู้อย่างรุ่นแรงเนื่องจากศัตรูกำลังบีบคั้นสิทธิและศักดิ์ศรีของกลุ่ม กลุ่มหรือองค์กรที่อยู่ตรงข้ามคือผู้ก่อการร้ายตัวจริง การใช้ความรุ่นแรงเป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสิ่งที่ถูกกระทำ  กลุ่มก่อการร้ายพยายามที่จะเปลี่ยนความรับผิดชอบของความรุ่นแรงให้กับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีความโหดร้าย ไม่ใช้มนุษย์ และไร้ศีลธรรม
กลยุทธ์ประการที่สามคือการสร้างภาพของการไม่ใช้ความรุ่นแรงในความพยายามในการแก้ไขปัญหา แม้ว่าองค์กรเหล่านี้คือองค์กรแห่งความรุ่นแรง เว็บไซต์จำนวนมากของกลุ่มเหล่านี้กล่าวอ้างถึงการค้นหาการแก้ปัญหาอย่างเสรีภาพ ซึ่งเป้าประสงค์สูงสุดคือการเจรจาทางการทูต
แหล่งข้อมูล
อินเตอร์เน็ตอาจจะถูกมองในฐานะของห้องสมุดดิจิตอลขนาดใหญ่ ในโลกของอินเตอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวก็เต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาล และส่วนใหญ่แล้วฟรี และส่วนใหญ่ก็เป็นที่สนใจของ กลุ่มก่อการร้าย พวกก่อการร้ายสามารถเรียนรู้จากอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเป้าหมายเช่น ระบบการขนส่งมวลชน โรงงานนิวเคลียร์ อาคารสาธารณะ สนามบิน ท่าเรือ แม้กระทั่งมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย แดน เวอร์ตันผู้เขียน หนังสือ “ The Invisible Threat of Cyberterrorism” (2003), อธิบายว่า กลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า ปฏิบัติการโดยใช้ฐานข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตในการรวบรวมเป้าหมายที่เป็นไปได้ในสหรัฐฯ กลุ่มก่อการร้ายใช้อินเตอร์เน็ตเครื่องมือการข่าวเพื่อรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับเป้าหมาย เฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายสำคัญด้านเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถของโปรแกรมสมัยใหม่เกื้อกูลให้สามารถศึกษาโครงสร้างจุดอ่อนของสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งการคาดการณ์ผลกระทบจากการโจมตีที่เกิดขึ้น
ปัจจุบันมีเว็บไซต์จำนวนมากที่เสนอเครื่องมือในการค้นหาข้อมูล (Search Engine) เช่น google.com ,yahoo.com live.com จากฐานข้อมูลบนเว็บของตนเอง ทำให้เกื้อกูลต่อผู้ก่อการร้ายสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกโดยใช้ความพยายามเล็กน้อยหรือลงทุนนิดหน่อย
แหล่งระดมเงินทุน
การหาเงินทุนสนับสนุนการก่อการร้ายโดยอาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง คล้ายกับเว็บไซต์ขององค์การทางการเมือง ซึ่งจัดขึ้นเพื่อหาเงินทุนจากผู้สนับสนุน ดังนั้นกลุ่มผู้ก่อการร้ายก็ได้จัดตั้งเว็บไซต์จำนวนมากขึ้นเพื่อระดมทุนจาก แนวร่วมหรือผู้มีอุดมการณ์ร่วมจากทั่วโลก ซึ่งจะอยู่ในรูปของการบริจาคเพื่อกองทุนการกุศล องค์กรที่ไม่ใช่รัฐ เช่น The Sunni extremist group Hizb al-Tahrir ใช้การบูรณาการของเว็บไซต์ เครือข่ายเชื่อมโยงทั่วโลก เพื่อขอรับการสนับสนุนเงินทุนการกุศลทางศาสนา JIHAD ซึ่งผู้ศรัทธาสามารถบริจาคได้ทั้งในรูปแบบของการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารโดยใช้ระบบบัตรเครดิตด้วย จึงนับว่าสะดวกอย่างยิ่ง
กลุ่มก่อการร้ายจะใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนบุคคลที่ใช้ในการกรอกแบบสอบถาม หรือการสั่งซื้อในอินเตอร์เน็ต  ซึ่งทำให้สามารถระบุกลุ่มผู้ใช้ ที่มีแนวโน้มทัศนะคติความเชื่อที่ใกล้เคียงกัน ต่อมากล่มบุคคลเหล่านี้จะถูกถามให้บริจาคเงินช่วยเหลือ ผ่านทางระบบอีเมล์ ซึ่งส่งมาจากตัวแทนของก่อการร้าย (องค์กรที่สนับสนุนการก่อการร้าย แต่ดำเนินการเปิดเผยและถูกกฎหมาย และปกติจะไม่มีหลักฐานเชื่อโยงถึงกลุ่มก่อการร้าย) ยกตัวอ่าง เงินทุนสนับสนุนขบวนการฮามาส จะถูกรวบรวมผ่านทางเว็บไซต์ ของ Texas-based charity, the Holy Land Foundation for Relief and Development (HLF)  ซึ่งถูกรัฐบาลสหรัฐฯ จับกุมทรัพย์สินในธันวาคม 2001 เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มฮามาส
การชักจูงสมาชิก
อินเตอร์เน็ตไม่เป็นเพียงแต่เครื่องมือในการเข้าถึงการบริจาค แต่รวมถึงการชักชวนสมาชิกใหม่โดยอาศัยการเก็บข้อมูลผู้ใช้งานที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บ  ผู้ใช้งานซึ่งแสดงออกถึงสนใจมากที่สุดต่อกิจกรรมของกลุ่มหรือมีความเหมาะสมที่สุดต่อการดำเนินการของกลุ่มจะได้รับการติดต่อ ซึ่งส่วนใหญ่เป้าหมายที่ถูกเลือกจะเป็นคนหนุ่มสาว  นอกจากนั้นยังมีข้อมูลที่ได้รับการเปิดเผย ว่ามีการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการโฆษณาตัวเองต่อกลุ่มก่อการร้าย เช่นกรณีของนักศึกษา Ziyad Khalil นักศึกษาชาวอียิปต์ซึ่งศึกษาอยู่ในคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ ณ มหาวิทยาลัย โคลัมเบีย รัฐ มิสซูรี สหรัฐฯ ได้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อในการนำเสนอตัวเองต่อกลุ่มก่อการร้าย ด้วยการจัดตั้งเว็บไซต์สนับสนุนกลุ่มฮามาส กิจกรรมที่เขาทำหลายอย่างผ่านระบบอินเตอร์เน็ตทำให้เขาเป็นที่สนใจของ บินลาเดนและพรรคพวก ต่อมา Khalil ได้กลายมาเป็นตัวแทนของอัลเคด้าในสหรัฐฯ ทำหน้าที่ในการจัดซื้อโทรศัพท์ดาวเทียม คอมพิวเตอร์และระบบอิเล็คโทรนิคในการติดต่อสื่อสาร เพื่อช่วยให้บินลาเดนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้สนับสนุนและลูกน้องของเขาได้ อย่างไรก็ตามโดยปกติแล้วกลุ่มก่อการร้ายจะเข้าถึงเป้าหมายที่ต้องการมากกว่าที่จะให้เป้าหมายนำเสนอตัวเอง
เครือข่ายเชื่อมโยงถึงกัน
ปัจจุบันกลุ่มก่อการร้ายฮามาสและอัลเคด้าได้ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสื่อกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์และการสั่งการ และขยายการติดต่อสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ ในอนาคตกลุ่มก่อการร้ายมีแนวโน้มที่จะกระจายอำนาจในการควบคุมและสั่งการมาขึ้น โดยระบบสายสัมพันธ์ของกลุ่มก่อการร้ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งการติดต่อและการประสานงานจะกระจายเป็นไปในทิศทางระดับมากกว่าทางดิ่ง
เหตุผลที่เทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เน็ต สามารถเอื้อประโยชน์อย่างมากต่อกลุ่มก่อการร้ายในการจัดตั้งและดำรงสภาพของเครือข่ายเนื่องจาก ประการแรกเทคโนโลยีช่วยลดเวลาในการติดต่อสื่อสาร ทำให้สามารถติดต่อถึงกันได้อย่างเสรีและประสานงานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ประการที่สอง เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายของการติดต่อสื่อสาร และประการที่สาม การบูรณาการคอมพิวเตอร์เข้ากับการติดต่อสื่อสารส่งผลให้สามารถเพิ่มรูปแบบของการสื่อสารที่หลากหลายของข้อมูลที่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้
อินเตอร์เน็ตไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการติดต่อระหว่างสมาชิกของกลุ่มเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระหว่างสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลกด้วย เช่น เว็บไซต์จำนวนมากซึ่งสนับสนุนการก่อการร้ายในนามของจีฮัด โดยเว็บไซต์เหล่านี้รวมทั้งชุมชนออนไลน์ (Forum) อนุญาตให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆทั่วโลกเช่น Chechnya, Palestine, Indonesia, Afghanistan, Turkey, Iraq, Malaysia, the Philippines, and Lebanon แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เช่นการผลิตระเบิด การชักจูงสมาชิกใหม่ และการปฏิบัติการโจมตี เป็นต้น
แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
โลกของอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนแหล่งรวมของของเว็บไซต์จำนวนมหาศาล ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการผลิตสารเคมี การผลิตวัตถุระเบิด เว็บไซต์หลายแห่งมีข้อมูล The Terrorist's Handbook and The Anarchist Cookbook,  คู่มือสองเล่มนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าให้ข้อมูลและรายละเอียดในการผลิตระเบิดชนิดต่างๆ และอีกหนึ่งคู่มือคือ The Mujahadeen Poisons Handbook, ซึ่งเขียนโดย The Mujahadeen Poisons Handbook, และถูกนำเสนอบนเว็บไซต์ของกลุ่มฮามาสให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเตรียมสารพิษ กาซพิษ และสารพิษอันตรายอื่นๆสำหรับใช้ในการโจมตี นอกจากนั้นยังมีคู่มืออีกหนึ่งเล่มที่มีซื่อเรียกว่า "The Encyclopedia of Jihad" and prepared by al Qaeda, มีจำนวนมากกว่าหนึ่งพันหน้า นำเสนอข้อมูลผ่านเว็บไซต์ ให้ข้อมูลวิธีการการเครือข่ายใต้ดินรวมทั้งการปฏิบัติการโจมตีต่อเป้าหมาย
การวางแผนและการประสานงาน
กลุ่มก่อการร้ายไม่เพียงแต่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นสถานที่ในการเรียนรู้วิธีการผลิตวัตถุระเบิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการวางแผนและประสานความร่วมมือในการโจมตีเป้าหมายด้วย การปฏิบัติการของกลุ่มอัลเคด้าต้องพึ่งพาอินเตอร์เน็ตอย่างมากในการวางแผนและประสานงานในการโจมตีเมื่อ 9/11  เจ้าหน้าที่ FBI ของสหรัฐฯ ตรวจพบข้อมูลนับพันซึ่งมีการเข้ารหัสป้องกันอย่างดีบนเว็บไซต์ของกลุ่มก่อการร้ายรวมทั้งในคอมพิวเตอร์ของ Abu Zubaydah, ผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์โจมตี เมื่อ 11 กันยายน  ข้อความแรกตรวจพบในคอมพิวเตอร์ถูกส่งออกไป dated May 2001 and the last were sent on September 9, 2001. ความถี่ของข้อความสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2001 และเพื่อปกปิดการตัวเอง กลุ่มก่อการร้ายใช้อินเตอร์เน็ตของสาธารณะ ในการส่งข่าวสารผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
บางส่วนของเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับขวนการก่อการร้าย
alneda.com,  เป็นเวบที่จะนำสมาชิกของขบวนการก่อการร้ายอัลเคด้าเข้าสู่เว็บที่มีระบบ รปภ.ที่เข้มกวดมากขึ้น
 assam.com, ถือเป็นกระบอกเสียงของกลุ่ม jihad in Afghanistan, Chechnya, and Palestine;
almuhrajiroun.com, เพื่อกระตุ้นสมาชิกร่วมอุดมการณ์ให้สังหารประธานาธิบดี  Pakistani president Pervez Musharraf;
qassam.net, เว็บไซต์ที่ เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย al Qaeda และ  Hamas;
jihadunspun.net, วิดีโอความยาว 36 นาทีของบินลาเดน ในการแนะนำ ให้พร และ สร้างภัยคุกคาม
7hj.7hj.com, สอนวิธีการเจาะระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ ปล่อยไวรัสคอมพิวเตอร์
aloswa.org, นำเสนอข้อมูลคำกล่าวของ บินลาเดนในการโจมตีเมื่อ 9/11
jehad.net, alsaha.com, and islammemo.com, เชื่อมโยงกลุ่มก่อการร้าย al Qaeda การแถลงการณ์ และการเรียกร้องให้ปฏิบัติการโจมตี รวมทั้งให้คำแนะนำในการปฏิบัติการด้วย  

บทสรุป
อินเตอร์เน็ตกับการก่อการร้ายระดับโลกเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์การโจมตีตึกเวิล์ดเทรดเซ็นต์เตอร์ของสหรัฐอเมริกา ( 9/11/2001) เหตุการณ์ลอบวางระเบิดรถไฟใต้ดินลอนดอนเมื่อ 8 กรกฎาคม 2548 และล่าสุดการก่อการร้ายที่มุมไบ อินเดีย เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2551 ตำรวจมุมไบได้เปิดเผยข้อมูลจากผลการสอบสวนผู้ก่อการร้ายที่จับตัวได้รายหนึ่งพบว่า ผู้ก่อการร้ายได้รับการฝึกฝน และใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่น มือถือดาวเทียม และจีพีเอส รวมทั้งการใช้ Google Earth ศึกษาเส้นทางโดยรอบโรงแรมที่จะปฏิบัติแผนการจู่โจมครั้งนี้ ซึ่ง Google Earth คือระบบแผนที่ออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ตสามารถเข้าไปค้นหารายละเอียดเส้นทางและสถานที่ต่างๆทั่วโลกได้อย่างง่ายดาย  อย่างไรก็ตามการใช้งานอินเตอร์เน็ตของกลุ่มก่อการร้ายก็มีลักษณะ Dynamic หรือเป็นแบบพลวัตร ที่มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อเป็นการปกปิดสถานะที่แท้จริงขององค์กร จึงทำให้เกิดความยุ่งยากและซับซ้อนในการรับมือและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะการที่มีเทคโนโลยีสูงนั้นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะเราอาจจะถูกเทคโนโลยีที่สร้างขึ้น กลับมาทำร้ายเราเองก็เป็นไปได้ ดังนั้นเราจำเป็นต้องควบคุมและคำนึงถึงการใช้งานที่เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน
แหล่งอ้างอิง

http://www.bangkokbiznews.com/2008/12/03/news_316923.php
http://www.usip.org/pubs/specialreports/sr116.html

คุณธรรมสำหรับผู้ครองเรือน

คุณธรรมสำหรับผู้ครองเรือน

ฆราวาสธรรม เป็นหลักธรรมที่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไปจำเป็นจะต้องมีไว้เพื่อเป็นหลักยึดในการดำเนินชีวิต เหมือนเป็นอาภรณ์ประดับกายที่มีค่า ทำให้เป็นคนที่มีลักษณะน่าเชื่อถือ น่าเคารพ น่าศรัทธา น่าไว้วางใจ เป็นหลักธรรมที่เสริม และไปด้วยกันดีกับอิทธิบาท 4 ทำให้เพิ่มพลังในการทำงานยิ่งกว่ารถยนต์ที่เติมน้ำมันเบนซินซูเปอร์เสียอีก ดังนั้น เราซึ่งควรมาศึกษารายละเอียดของฆราวาสธรรมว่ามีประการใดบ้างจึงขอยกคำสอนของหลวงพ่อทัตฺตชีโว วัดธรรมกาย ที่ได้เทศน์อบรมพุทธศาสนิกชน เกี่ยวกับฆราวาสธรรม ดังนี้
๑. สัจจะ คิดทำอะไรให้จริงจังและจริงใจ ทุ่มหมดตัว ไม่ยั้ง ไม่เหยาะแหยะ ได้แก่
๑.๑ จริงต่อหน้าที่ บุคคลไม่ว่าสถานะใดต้องมีหน้าที่ทุกคน เมื่อรู้จักบทบาท
หน้าที่ของตนแล้ว ก็รับผิดชอบและทำหน้าที่ของตนอย่างจริงจัง
๑.๒ จริงต่องาน เมื่อบุคคลมีหน้าที่ก็ต้องมีงานตามมาคนที่จริงต่อการงานไม่ว่าจะอยู่ในหน้าที่อะไรก็ทุ่มทำงานในหน้าที่นั้นให้หมดตัว ไม่ต้องขยักไว้ยกตัวอย่างในประวัติศาสตร์ชาติไทยเรื่องการกู้เอกราชของพระเจ้าตากสินมหาราช ถึงคราวที่พระองค์จะตีเมืองจันทบุรี พระองค์ก็ทรงทุ่มเทหมดตัวเหมือนกัน เย็นวันนั้นพอพวกทหารกินข้าวกินปลาอิ่มกันดีแล้ว ก็ทรงสั่งให้เผาอาหารที่เหลือทิ้งให้หมด หม้อข้าวหมอแกงสั่งให้ทุบทิ้งไม่ให้มีเหลือ แล้วทรงรับสั่งอย่างเฉียบขาดว่า “คืนนี้ต้องตีเมืองจันท์ให้ได้แล้วเข้าไปกินข้าวในเมือง แต่ถ้าตีไม่ได้ก็ตายกันอยู่หน้าประตูเมืองจันทบุรี อดตายกันอยู่นี่นั่นแหละ”
จากวิธีการทำงานของท่าน ก็คงจะเห็นได้ว่า ท่านทุ่มเทหมดตัว งานซึ่งสำเร็จดังใจหวัง ถ้าเราทำงานแล้วทุ่มหมดตัว งานก็ต้องสำเร็จเช่นกัน ทำงานแต่ละชิ้นต้องทำให้ดีที่สุด ซึ่งหมายความว่าที่ดีสุดเท่าที่เวลาอำนวย ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์ที่หามาได้ในตอนนั้น ดีที่สุดเท่าที่งบประมาณกำหนดมาให้ เมื่อคิดว่าดีที่สุดแล้วก็ทุ่มทำเต็มที่ ฝึกให้เคยต่อไปก็จะเกิดความคล่องขึ้นเอง
๑.๓ จริงใจต่อเวลา รู้จักใช้เวลาให้คุ้มค่า เรื่องไม่เป็นเรื่องไม่ควรทำเสียเวลาเปล่า เวลาที่ผ่านไปมันไม่ได้ผ่านไปเปล่า ๆ มันเอาอายุ เอาชีวิตของเราไปด้วย
๑.๔ จริงต่อบุคคล นั่นคือคบกับใคร ก็คบกันจริง ๆ ไม่ใช่คบกันเพียงแต่มารยาท หรือต่อหน้าสรรเสริญ ลับหลังนินทา
๑.๕ ตรงต่อความดี คือ จริงใจต่อคุณธรรมความดี จะทำอะไรเพื่อช่วยเหลือเพื่อน หรือทำตามหน้าที่ ต้องมีคุณธรรมกำกับด้วย อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน
แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อวันที่ตรัสรู้นั้นเมื่อท่านนั่งสมาธิบัลลังก์แล้ว ท่านก็ทรงตั้งสัจจะอธิษฐานทุ่มชีวิตเลยว่า “แม้เลือดเนื้อในร่างกายจะแห้งเหือดหายไปเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที หากยังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเราจะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด”
๒. ทมะ คือ การข่มใจ เป็นการรู้จักบังคับใจต่อตัวเอง หรือฝึกปรับปรุงตัวเอง
เรื่อยไป เราในฐานะชาวพุทธ เราควรจะบังคับตัวเองหรือฝึกตนเองในการแก้นิสัย นิสัยใดที่รู้ว่าไม่ดีก็ต้องรีบแก้ เช่น นิสัยของความเกียจคร้าน ต้องฝืนใจให้ได้ ฝึกฝนอยู่บ่อย ๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ช้าก็จะคุ้นจนไม่รู้สึกว่าฝืนใจทำงาน นิสัยเสียอื่น ๆ ก็เช่นกัน เมื่อได้ข่มใจฝึกปรับปรุงตัวเองเรื่อย ๆ ไป ก็ย่อมจะเป็นที่รักแก่คนทั่วไป ไม่มีพิษมีภัยกับใคร
๓. ขันติ คือความอดทนเป็นลักษณะบ่งถึงความเข้มแข็งทางใจ ขันติมี ๔ ลักษณะ
๓.๑ อดทนต่อความลำบากตรากตรำ ได้แก่ อดทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ฝน
จะตก แดดจะร้อน อากาศจะหนาว หรือภูมิประเทศจะแห้งแล้งอย่างไรก็ทนได้ทั้งสิ้น
๓.๒ อดทนต่อความทุกขเวทนา คือ ทนต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย
๓.๓ อดทนต่อความเจ็บใจ คือ ทนต่อการดูถูกว่ากล่าวกระทบกระเทียบ
เปรียบเปรย การกระทำให้เจ็บอกเจ็บใจ
๓.๔ อดทนต่ออำนาจกิเลส หมายถึง การไม่เอาแต่ใจตัว อดทนต่อสิ่งยั่วยวน
หรือความฟุ้งเฟ้อต่าง ๆ
๒.๔ จาคะ แปลว่า เสียสละ หมายถึง ตัดใจหรือตัดกรรมสิทธิ์ของตน ตัดความยึดถือ ความเสียสละมี 2 นัย
๔.๑ เสียสละวัตถุ หมายถึง การแบ่งปันกันกิน แบ่งปันกันใช้ รวมทั้งการทำบุญให้ทานด้วย
๔.๒ สละอารมณ์ หมายถึง ไม่ผูกโกรธใคร ใครจะทำให้โกรธ เราก็อาจจะดุด่าว่ากล่าวกันไป แต่ไม่ผูกใจโกรธไม่คิดจะตามจองล้างจองผลาญ
คุณธรรมของผู้ครองเรือนทั้ง 4 ข้อจะทำให้ผู้ครองเรือนสามารถอยู่และครองเรือนได้อย่างปกติสุข ครอบครัวรักใคร่มีเยื่อใยต่อกัน ปัญหาครอบครัวไม่มี



ที่มา http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=25777

อยากประสพความสำเร็จในชีวิต

คนที่จะประสบความสำเร็จได้ต้องมีคุณธรรมชื่อ จักร ๔ คือ
๑. ปฏิรูปเทสวาสะ คือ เลือกที่อยู่ที่เหมาะสม
๒. สัปปุริสูปัสสยะ คือ เลือกเสวนากับคนดี
๓. อัตตสัมมาปณิธิ คือ ตั้งตนให้ถูกวิถี
๔. ปุพเพกตปุญญตา คือ มีทุนดีได้เตรียมไว้ทุนดีคือสติปัญญา ความถนัดและร่างกายดีทำให้สามารถก้าวสู่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้น
หลักความสำเร็จที่จะนำบุคคลไปสู่ความสำเร็จแห่งกิจการนั้นๆได้แก่ อิทธิบาท ๔
๑. ฉันทะ มีใจรักพอใจที่จะทำสิ่งนั้น
๒. วิริยะความพากเพียร ขยันหมั่นประกอบกระทำสิ่งนั้นด้วยความพยายาม
๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ใช้ความคิดเรื่องนั้นบ่อยๆ
๔. วิมังสา ใช้ปัญญาสอบสวนหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ
ที่มา http://socialscience.igetweb.com/index.php?mo=3&art=13790

หลักการปฏิบัติราชการของนายทหารสัญญาบัตร

หลักการปฏิบัติราชการของนายทหารสัญญาบัตร
หลักปฏิบัติราชการของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ทรงพระราชนิพนธ์ เรื่องหลักราชการ ๑๐ ประการไว้ เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗ ณ พระราชวังสนามจันทร์) มีดังนี้
๑. ความสามารถ                         ๖. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป
๒. ความเพียร                           ๗. ความรู้จักนิสัยคน
๓. ความไหวพริบ ๘. ความรู้จักผ่อนผัน
๔. ความรู้เท่าถึงการ                     ๙. ความมีหลักฐาน
๕. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ ๑๐. ความจงรักภักดี
ในสมัยปัจจุบันนี้ ใคร ๆ ก็ต้องทราบอยู่แล้วว่า การศึกษาเจริญขึ้นมากกว่าในเวลาก่อน ๆ นับเป็นอันมาก และมีตำรับตำราสำหรับสอนศิลปวิทยาแทนทุกอย่าง เหตุฉะนี้จึงทำให้คนบางจำพวกหลงไปว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา” และด้วยความหลงอันนี้ จึงทำให้หลงเลยนึกต่อไปว่าไม่ว่าจะทำการในหน้าที่ใด ๆ ข้อสำคัญมีอยู่อย่างเดียว แต่เพียงจะพยายามให้ได้คะแนนมาก ๆ ทุกคราวที่สอบไล่ในโรงเรียนและให้ได้ประกาศนียบัตรหลาย ๆ ใบ แล้วพอออกจากโรงเรียนก็เป็นอันไม่ต้องพยายามทำอะไรต่อไปอีก ทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งทรัพย์ต้องหลั่งไหลมากทีเดียว บุคคลจำพวกที่ว่านี้เมื่อเข้าทำงานแล้วถ้าแม้นไม่ได้รับตำแหน่งอันสูง หรือลาภยศเพียงพอแก่ที่ตนตีราคาไว้ ก็จะบังเกิดความไม่พอใจแล้วหมดความสุข ถ้าคนเรามีวิชาอย่างเดียว แล้วเป็นใหญ่เป็นโตได้ ป่านนี้พวกครูบาอาจารย์ทุกคนคงต้องเป็นใหญ่เป็นโตไปด้วยกันหมดแล้วนี่แสดงว่าการเป็นใหญ่เป็นโตไม่ใช่เพราะวิชาอย่างเดียวเสียแล้ว ต้องมีคุณวิเศษอื่นประกอบอีกด้วยคุณวิเศษเหล่านี้จะขอพรรณนาแต่พอสังเขปต่อไปนี้
๑. ความสามารถ มีบางคนเข้าใจผิดว่าความสามารถมีความหมายเหมือนคำว่าความชำนาญ โดยผู้ที่ได้รอบรู้วิทยาการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วและใช้ความรู้นั้นโดยอาการช่ำชอง มักกล่าวกันว่าเขาสามารถ แต่แท้จริงควรใช้คำว่าชำนาญ จะเหมาะกว่าที่จริงคำว่า “สามารถ” ต้องแปลว่า “สิ่งซึ่งการกระทำให้ความเป็นใหญ่มีมาแก่ผู้ที่มีอยู่”เพราะความสามารถเป็นสิ่งซึ่งมิได้มีอยู่ในตำหรับตำราอันใด จะสอนกันไม่ได้ คำว่าสามารถถ้าแปลให้กว้าง คือ การทำการงานเป็นผลสำเร็จได้ดีกว่าผู้ที่มีโอกาสเท่า ๆ กันความสามารถเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บังคับบัญชา ในการเลือกเฟ้นผู้บังคับบัญชาควรเพ่งเล็งดูที่ความสามารถมากกว่าดูภูมิวิชาเพราะยังมีผู้ที่มีวิชาแต่ไม่รู้จักใช้วิชานั้นให้เป็นประโยชน์จริง ๆ ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อันใด จึงเห็นได้ว่าความสามารถเป็นลักษณะหนึ่งแห่งผู้บังคับบัญชาคน
๒. ความเพียร มีพุทธภาษิตกล่าวว่า “ความเพียรเป็นเครื่องพาคนข้ามพ้นความทุกข์” คำว่า “เพียร” แปลว่า “กล้าหาญไม่ย่อท้อต่อความยากและบากบั่น เพื่อจะข้ามความขัดข้องให้จงได้ โดยใช้ความอุตสาหะ วิริยะภาพมิได้ลดหย่อน” การเพียรไม่เกี่ยวกับการมีวิชามากหรือน้อยคนเพียรอาจจะไม่มีวิชาเลยและอาจได้เปรียบผู้ที่มีวิชาแต่ขาดความเพียรด้วยเหตุที่ผู้มีวิชาความรู้น้อยกว่า กลับได้ดีมากกว่าคนที่มีวิชาความรู้มากกว่า เพราะลืมนึกไปว่าวิชานั้นเป็นสมบัติเฉพาะบุคคลหนึ่ง หรือหมู่หนึ่งหมู่ใดเท่านั้นก็หามิได้วิชาความรู้ย่อมเป็นของกลางสำหรับโลก เป็นทรัพย์จนไม่มีเวลาสิ้นสุด ผู้ที่โฆษณาภูมิความรู้ของตนอยู่เสมอว่าความรู้สูงนั่นแหละเป็นคนโง่โดยแท้ เพราะคนเรายิ่งเรียนมากขึ้นก็ยิ่งแลเห็นแจ่มแจ้งขึ้นทุกทีว่า ความรู้ตนเองนั้นมีน้อยปานใด ส่วนคนที่เข้าใจผิดว่าตนเองมีความรู้มากแล้วก็มิได้ขวนขวายหาความรู้สืบไป ในทางตรงข้ามผู้ที่มิได้อวดรู้แต่ตั้งความเพียรอยู่สม่ำเสมอ จึงมักเดินทันหรือแซงหน้าผู้มีวิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ดังนั้นผู้ที่เป็นคนเพียร เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ย่อมจะใช้อุตสาหะวิริยะภาพโดยสม่ำเสมอ เพื่อทำกิจการนั้น ๆ ให้สำเร็จลุล่วง การเลือกใช้คน  ผู้บังคับบัญชาจึงเพ่งเล็งหาคนเพียรมากกว่าคนที่มีวิชา แต่เกียจคร้านหาความบากบั่นอดทนมิได้
๓. ความไหวพริบ “ไหวพริบ” แปลว่า “รู้จักสังเกตเห็นโดยไม่ต้องมีใครเตือนว่า เมื่อมีเหตุนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติการอย่างนั้น ๆ เพื่อให้บังเกิดผลดีที่สุดแก่กิจการทั่วไปและรีบทำการอันเห็นควรนั้น โดยฉับพลันทันท่วงที” ผู้ที่มีวิชามากแต่บกพร่องในความไหวพริบก็อาจสู้คนที่มีวิชาน้อยแต่มีความไหวพริบมากกว่าหาได้ไม่ เพราะเมื่อมีเหตุต้องทำทันทีทันควันจะไม่มีเวลาค้นตำหรับตำราที่ไหน ต้องรีบปฏิบัติให้ทันการ ผู้ที่ผู้บังคับบัญชาคนจะเอาตัวรอดแต่ลำพังไม่ได้ ต้องนำผู้ใต้บังคับบัญชาของตนรอดพ้นไปด้วย และต้องใช้ความคิดโดยปัจจุบันทันด่วนบ่อย ๆ ฉะนั้นในการเลือก ผู้บังคับบัญชาต้องเพ่งเล็งที่ไหวพริบของบุคคลเป็นสำคัญด้วย
๔. ความรู้เท่าถึงการณ์ คำว่า “ความรู้เท่าถึงการณ์” หมายถึง “ รู้จักปฏิบัติกิจการให้เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง” การที่จะเป็นเช่นนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่รู้จักเลือกว่า จะต้องปฏิบัติการอย่างไรจึงจะเหมาะสมแก่เวลาและ
สถานที่ คือการจะทำอะไรก่อนและอะไรหลังให้เหมาะสมกัน รวมทั้งการเลือกสถานที่ที่เหมาะสมในการทำการ และได้รับผลดีมีประโยชน์ เมื่อกระทำลงไปแล้ว ความรู้เท่าถึงการณ์นั้นสั่งสอนกันไม่ได้ แต่ได้โดยความอุตสาหะ
พากเพียร จำแบบอย่างผู้อื่น ซึ่งเขาได้ปฏิบัติมาแล้ว แต่จะยึดอยู่แต่แบบแผนตายตัวเท่านั้นหาได้ไม่ เพราะถ้าไปประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่อยู่ในแบบแผนก็จะทำอะไรไม่ถูก ฉะนั้นจึงต้องอาศัยไหวพริบในตัวเองประกอบด้วย
จึงจะเป็นผู้รู้เท่าถึงการโดยสมบูรณ์
๕. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ ความซื่อตรงต่อหน้าที่นั้นมิใช่แต่ทำภารกิจให้ตรงต่อเวลา และเสร็จไปเท่านั้น หรือการไม่คดโกงเงินหลวงเท่านั้น ความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือ การตั้งใจกระทำกิจการซึ่งได้รับมอบมาให้เป็นหน้าที่ของตนนั้นโดยซื่อสัตย์สุจริตใช้ความอุตสาหะวิริยะภาพเต็มสติกำลังของตน ด้วยความมุ่งหมายให้กิจการนั้นๆ บรรลุถึงความสำเร็จโดยอาการอันงดงามที่สุด ที่จะพึงมีหนทางจักไปได้ ผู้ที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ จริง ๆ แล้ว เมื่อได้รับมอบหมายให้ทำอะไรก็ต้องตั้งใจทำอย่างดีที่สุด ถ้าผู้ใดประพฤติดังที่กล่าวมานี้ นับว่าเป็นผู้ควรวางใจให้ทำการในหน้าที่สำคัญได้ เพราะเชื่อว่าหน้าที่อะไรที่มอบให้ทำคงไม่ทิ้ง
๖. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป คนเราไม่ว่าจะเป็นคนสำคัญปานใด ย่อมต้องอาศัยกำลังผู้อื่นในกิจการบางอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงต้องคำนึงว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้กำลังของผู้อื่นโดยความเต็มใจของเขาที่จริงหนทางที่ดีที่สุดจะดำเนินไปเพื่อให้เป็นที่นิยมของคนทั้งหลาย คือ ความประพฤติซื่อตรงทั่วไป รักษาตนให้เป็นคนที่เขาทั้งหลายจะเชื่อถือได้โดยรักษาวาจาสัตย์ ไม่เปลี่ยนแปลงคำพูด ไม่คิดเอาเปรียบใคร เมื่อผู้ใดมีไมตรีต่อก็มีไมตรีตอบไม่ใช่ความรักใคร่ไมตรีซึ่งผู้อื่นมีแก่เรานั้นเพื่อเป็นเครื่องประหารเขาเอาเอง หรือใคร ๆ ทั้งสิ้น ถ้าประพฤติได้เช่นนี้ก็ย่อมเป็นศรีแก่ตน ทำให้นิยมรักใคร่และให้ผู้ใหญ่เมตตากรุณาเป็นอันมาก
๗. ความรู้จักนิสัยคน ข้อนี้เป็นข้อสำคัญสำหรับผู้ที่มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติภารกิจติดต่อกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย ถ้าเป็นผู้น้อย ก็ต้องศึกษาสังเกตให้รู้ว่าผู้ใหญ่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของตนชอบอะไร และเกลียดอะไร เพื่อที่จะวางความประพฤติและทางการงานของตนให้ต้องตามอัธยาศัยของผู้ใหญ่นั้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นผู้บังคับบัญชาคนมาก ๆ ก็ต้องรู้จักนิสัยของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนว่าเป็นอย่างไร เพราะคนมีจิตใจแตกต่างกันบางคนชอบขู่ บางคนชอบปลอบ จะขู่อย่างเดียวหรือยออย่างเดียวหาได้ไม่ เพราะฉะนั้นจะใช้บังคับด้วยแบบแผนอย่างเดียวกันทั้งหมดหาเหมาะไม่
๘. ความรู้จักผ่อนผัน คนโดยมากที่มีหน้าที่บังคับบัญชาทั้งทหารและพลเรือนมักเข้าใจว่า “ผ่อนผัน” นี้ผิดเป็น ๒ จำพวก คือ จำพวกหนึ่ง เห็นว่าการผ่อนอันเป็นสิ่งที่ทำให้เสียระเบียบทางราชการไป จึงไม่ยอมผ่อนผันเลย อีกจำพวกหนึ่งเห็นว่าการใด ๆ ทั้งปวงควรจะคิดถึงความสะดวกแก่ตัวเองและบุคคลในบังคับบัญชาของตน จึงยอมผ่อนผันไปเสียทุกอย่าง จนเสียทั้งวินัยแบบแผนและหลักการทีเดียวก็มี ซึ่งทั้งสองจำพวกนี้เข้าใจผิดทั้งสองจำพวกทางที่ควรนั้นควรจะเดินสายกลาง พิจารณาตามความเหมาะสมถึงจะถูก
๙. ความมีหลักฐาน ความมีหลักฐานเป็นคุณวิเศษอันหนึ่งซึ่งจะเป็นเครื่องช่วยบุคคลให้ได้รับตำแหน่งหน้าที่อันมีความรับผิดชอบ และเมื่อได้รับแล้วจะเป็นเครื่องให้ได้มั่นคงอยู่ในตำแหน่งนั้นต่อไปอีกด้วย การมีหลักฐาน คือ หนึ่ง การมีบ้านเป็นสำนักมั่นคง ไม่เที่ยวระเหระหนอยู่โน้นทีนี่ที ต้องอยู่ให้เป็นที่เป็นทาง เมื่อมีความจำเป็นที่จะตามตัวต้องตามพบ สอง การมีครอบครัวอันมั่นคง คือ มีภรรยาเป็นเนื้อเป็นตัวและ เป็นคู่ชีวิตฝากเหย้าฝากเรือนเป็นหูเป็นตาแทนผัวได้ จึงเรียกว่ามีครอบครัวเป็นหลักเป็นฐาน สาม ตั้งตนไว้ในที่ชอบ คือ ไม่ประพฤติสำมะเลเทเมาประพฤติอยู่ในอบายมุขซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความฉิบหาย ที่กล่าวมานั้นจะแลเห็นได้ว่า ทุกคนมีโอกาสเท่า ๆ กันที่จะทำตัวเป็นผู้มีหลักฐาน ถ้าใครไม่ถือโอกาสนั้นแล้ว จะโทษใคร ไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง
๑๐. ความจงรักภักดี ความจงรักภักดี แปลว่า ความสละตนเพื่อประโยชน์แห่งท่าน คือ ถึงแม้ว่าตนจะได้รับความเดือนร้อน ความรำคาญ ตกระกำลำบากหรือจนต้องสิ้นชีวิตเป็นที่รักก็ย่อมได้ทั้งสิ้น เพื่อมุ่งประโยชน์แท้จริงให้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผู้ที่จะยอมเสียสละเช่นนี้ได้ต้องเข้าใจซึมซาบว่า ตนของตนนั้นเปรียบเสมือนปรมาณูผงก้อนเล็กนิดเดียว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภูเขาใหญ่ ซึ่งภูเขาใหญ่เปรียบเสมือนชาติ และถ้าชาติเราแตกสลายไป แล้วตัวเราผู้เป็นผงก้อนเดียวเท่านั้นก็ต้องลอยไปตามลม เมื่อเข้าใจเช่นนี้จึงจะเข้าใจว่าราคาของคนนั้นที่มีอยู่แม้แต่เพียงเล็กน้อยปานใดก็เพราะอาศัยการที่ยังเป็นส่วน ๆ แห่งชาติ ซึ่งยังคงเป็นเอกราชไม่ต้องเป็นข้าใครอยู่เท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้เข้าใจจริงจะไม่รู้สึกเลยว่าการเสียสละส่วนใด ๆ จะเป็นข้อควรเป็นห่วงแทน นี้เป็นความจงรักภักดีแท้จริง และความจงรักภักดีแท้จริงนี่เอง คือความรักชาติซึ่งคนไทยสมัยใหม่พูดจนติดปาก แต่จะหาผู้เข้าใจซึมซาบจริงได้น้อยนัก
มารยาทของนายทหารสัญญาบัตรที่พึงปฏิบัติ
๑. ต้องระวังความสะอาดเรียบร้อยในที่อยู่ของตนให้มาก ๆ เพราะที่อยู่ของตนนั้นเป็นเครื่องแสดงให้ผู้อื่นเขาเห็นว่าตนมีนิสัยเป็นอย่างไร
๒. เครื่องแต่งกายต้องให้ถูกแบบทหารทุกอย่าง และสะอาดเสมอ
๓. เวลารับประทานอาหารอย่าลุกลนเลอะเทอะมูมมาม จงระวังความสะอาดให้มากและอย่ากล่าวถึงสิ่งที่น่าเกลียดในเวลารับประทาน เพราะจะรำคาญหูผู้ซึ่งรับประทานอยู่ด้วยกัน
๔. ไม่ควรบ้วน , ขาก , ถ่มและอย่าจิ้ม ควัก ล้วง แกะเการ่างกายในที่ประชุม
๕. ไม่ควรหยิบของผ่านหน้าผู้อื่น ควรขอให้เขาหยิบส่งให้จะดีกว่าแล้วแสดงความขอบใจเขา
๖. คนไทยย่อมถือกันว่าศีรษะเป็นของสูง เพราะฉะนั้นต้องระวังอย่าใช้กิริยาข้ามกราย และเวลาพูดอย่าใช้มือชี้ข้ามหน้าตาและศีรษะของผู้อื่น
๗. อย่าล่วงเกิน ถูกต้องผู้อื่นซึ่งไม่ใช่หยอกกันฐานเพื่อน
๘. ไม่ควรหันหลังให้ผู้อื่น ในขณะที่พูดจากันหรือเหยียดเท้าไปให้ ถ้ากับผู้ใหญ่ยิ่งเป็นการสำคัญมากขึ้น
๙. ไม่ควรใช้กิริยากระซิบบุ้ยใบ้ ให้อาณัติสัญญาณใด ๆ ในที่ประชุม เพราะอาจทำให้ผู้อื่นสงสัยในกิริยาเช่นนั้น
๑๐. กิริยาท่าทาง ต้องให้ผึ่งผายองอาจสมกับที่เป็นทหารอยู่เสมอ
๑๑. เวลาไปในงานศพ อย่ามีกิริยารื่นเริงชื่นบานและทำเสียงดังเป็นอันขาด
๑๒. ทหารทุกคน ไม่ควรลักลอบเล่นการพนันที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติอากรการพนัน
๑๓. ทหารไปในที่ใด ๆ ก็ดี ต้องระวังในเรื่องแสดงความเคารพอยู่เสมอและต้องแสดงความเคารพด้วยกิริยานอบน้อม
๑๔. เสียงที่พูดนั้นอย่าให้เบานัก หรือโฮกฮาก และพูดอะไรต้องให้เป็นวรรคเป็นตอนและถูกต้องตามยศ
๑๕. ทหารทำกิจพลาดพลั้งในกิริยาวาจาต้องออกวาจาขอโทษเสมอ
๑๖. คำพูดต้องระวังให้แน่นอนไม่กลับกลอก
๑๗. การมาทันเวลาราชการนั้น นับว่าเป็นข้อสำคัญสำหรับราชการทหารมาก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือผู้น้อย ต้องมาก่อนผู้บังคับบัญชาหรือผู้ใหญ่เสมอแต่ไม่ควรมาก่อนเวลาซึ่งกำหนดเกินกว่า ๑๕ นาที ผู้ใหญ่หรือผู้บังคับบัญชาไม่ควรให้ผู้น้อยหรือผู้ใต้บังคับบัญชามาคอยตนอยู่นานต้องระวังทำตัวอย่างอันดีอยู่เสมอ ถ้าตนมาช้าสัก ๒ - ๓ ครั้ง ต่อไปผู้อื่นก็จะมาช้าอย่างที่ตนทำแบบนั้น
๑๘. เวลาเป็นเงินเป็นทอง ทหารทุกคนควรจะนึกตริตรอง และใช้ให้ถูกอย่าเอาเวลาอันแพงนี้ไปใช้สำหรับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมือง
๑๙. ผู้ใดไม่ทำการงานในหน้าที่ของตน เอาเวลาทำการงานในหน้าที่ของตนไปคิดการในหน้าที่ของคนอื่น ๆ และทั้งอวดรู้แต่ปากมากด้วยนั้น ผู้นั้นควรจะได้นามว่า “ กระฉอกถ้วยแก้ว ”
๒๐. ในการงานทั้งปวง ทหารต้องมีมานะไม่ย่อท้อต่อความลำบาก โดยไม่ทำตัวเป็นน้ำตาลหรือขี้ผึ้ง คือกลัวฝนและกลัวแดด ถึงแม้มีความลำบากสักปานใดก็ต้องสะกดใจไว้และคอยดูต่อไปในข้างหน้า
๒๑. เงินทองไม่ต้องยืมกัน เพราะเขาต้องใช้เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ให้ยืมจะขัดใจกันเมื่อเรามีเท่าใดก็ใช้เท่านั้นต้องใช้เงินให้พอเหมาะกับการได้ของตน อย่าให้ต้องเป็นหนี้การใช้เงินจนเกินกำลังตนจนต้องเป็นหนี้สินเขานั้น ผู้นั้นควรจะได้นามว่า “ เหลิงหรือเลยธง ”
๒๒. ผู้ที่อยู่นิ่ง ๆ ไม่ทำอะไรเพราะกลัวความผิดนั้นนับว่าเลว แม้จะทำอะไรไปถ้าปรากฏว่าบกพร่องก็จัดการแก้ไขภายหลัง ยังว่าเป็นทางที่ควรยกย่องอยู่เสมอ
การปฏิบัติตนในฐานะผู้บังคับบัญชา
๑. รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
๒. ส่งเสริมให้กำลังใจ
๓. รู้จักศิลปของการวิพากษ์วิจารณ์
๔. รักษาผลประโยชน์ของผู้ใต้บังคับบัญชา
๕. รู้จักใช้จิตวิทยาในการนำคน
การปฏิบัติตนในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา
                ๑. ทำงานให้เต็มขีดความสามารถ หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ
๒. ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาให้เหมาะสมกับเวลา, โอกาส
๓. ให้ความเคารพยกย่องตามฐานะ
การปฏิบัติตนในฐานะเพื่อนร่วมงาน
๑. มีความเข้าใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
๒. ยกย่องชมเชยเขาในโอกาสอันควร
๓. ให้ความคิดความร่วมมือด้วยความเต็มใจ
๔. หลีกเลี่ยงการทำตัวเหนือกว่า หรือโอ้อวดตน
๕. พบปะสังสรรค์ตามสมควร
ที่มา : คู่มือนายทหารสัญญาบัตร พ.ศ.๒๕๔๙

ขอให้มีแรงจูงใจ

สำหรับพี่ๆเพื่อนๆและน้องๆทุกคน ได้ลองสำรวจตัวเราเองเป็นความรู้และวิทยาทาน เป็นสิ่งสำคัญเป็นบันใดสู่ความสำเร็จตามที่เราคาดหวังไว้ ทำความเข้าใจกับแรงจูงใจ สร้างแรงจูงใจของเราให้เกิด แล้วเดินไปตามแรงแรงจูงใจของเราไปสู่จุดหมายปลายทางตามที่เราหวังไว้ ขออวยพรให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้จบจงประสพความสำเร็จในสิ่งที่หวังทุกคน
แรงจูงใจ (อังกฤษ: motive) เป็นคำที่ได้ความหมายมาจากคำภาษาละตินที่ว่า movere ซึ่งหมายถึง "เคลื่อนไหว (move) "
 

 บทนำ
แรงจูงใจ (Motivation) คือ สิ่งซึ่งความคุมพฤติกรรมของมนุษย์ อันเกิดจากความต้องการ (Needs) พลังกดดัน (Drives) หรือ ความปรารถนา (Desires) ที่จะพยายามดิ้นรนเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจจะเกิดมาตามธรรมชาติหรือจากการเรียนรู้ก็ได้ แรงจูงใจเกิดจากสิ่งเร้าทั้งภายในและภายนอกตัวบุคคลนั้น ๆ เอง ภายใน ได้แก่ ความรู้สึกต้องการ หรือขาดอะไรบางอย่าง จึงเป็นพลังชักจูง หรือกระตุ้นให้มนุษย์ประกอบกิจกรรมเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหรือต้องการนั้น ส่วนภายนอกได้แก่ สิ่งใดก็ตามที่มาเร่งเร้า นำช่องทาง และมาเสริมสร้างความปรารถนาในการประกอบกิจกรรมในตัวมนุษย์ ซึ่งแรงจูงใจนี้อาจเกิดจากสิ่งเร้าภายในหรือภายนอก แต่เพียงอย่างเดียว หรือทั้งสองอย่างพร้อมกันได้ อาจกล่าวได้ว่า แรงจูงใจทำให้เกิดพฤติกรรมซึ่งเกิดจากความต้องการของมนุษย์ ซึ่งความต้องการเป็นสิ่งเร้าภายในที่สำคัญกับการเกิดพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีสิ่งเร้าอื่น ๆ เช่น การยอมรับของสังคม สภาพบรรยากาศที่เป็นมิตร การบังคับขู่เข็ญ การให้รางวัลหรือกำลังใจหรือการทำให้เกิดความพอใจ ล้วนเป็นเหตุจูงใจให้เกิดแรงจูงใจได้
 ทฤษฎีแรงจูงใจ
ทฤษฎีแรงจูงใจแบ่งออกได้เป็นทฤษฎีใหญ่ ๆ คือ
ทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (Behavioral View of Motivation)
ทฤษฎี นี้ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ในอดีต (Past Experience) ว่ามีผลต่อแรงจูงใจของบุคคลเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกพฤติกรรมของมนุษย์ถ้าวิเคราะห์ดูแล้วจะเห็นว่าได้รับอิทธิพลที่เป็นแรงจูงใจมาจากประสบการณ์ใน อดีตเป็นส่วนมาก โดยประสบการณ์ในด้านดีและกลายเป็นแรงจูงใจทางบวกที่ส่งผลเร้าให้มนุษย์มีความต้อง การแสดงพฤติกรรมในทิศทางนั้นมากยิ่งขึ้นทฤษฎีนี้เน้นความสำคัญของสิ่งเร้าภายนอก (Extrinsic Motivation)
ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning View of Motivation)
ทฤษฎีนี้เห็นว่าแรงจูงใจเกิดจากการเรียนรู้ทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างเอกลักษณ์และการเลียนแบบ (Identification and Imitation) จากบุคคลที่ตนเองชื่นชม หรือคนที่มีชื่อเสียงในสังคมจะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล
ทฤษฎีพุทธินิยม (Cognitive View of Motivation)
ทฤษฎีนี้เห็นว่าแรงจูงใจในการกระทำพฤติกรรมของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับการรับรู้ (Perceive) สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว โดยอาศัยความสามารถทางปัญญาเป็นสำคัญ มนุษย์จะได้รับแรงผลักดันจากหลาย ๆ ทางในการแสดงพฤติกรรม ซึ่งในสภาพเช่นนี้ มนุษย์จะเกิดสภาพความไม่สมดุล (Disequilibrium) ขึ้น เมื่อเกิดสภาพเช่นว่านี้มนุษย์จะต้อง อาศัยขบวนการดูดซึม (Assimilation) และการปรับ (Accomodation) ความแตกต่างของประสบการณ์ที่ได้รับใหม่ให้ ้เข้ากับประสบการณ์เดิมของตนซึ่งการจะทำได้จะต้องอาศัยสติปัญญาเป็นพื้นฐานที่สำคัญทฤษฎีนี้เน้นเรื่องแรงจูง ใจภายใน(intrinsic Motivation) นอกจากนั้นทฤษฎีนี้ยังให้ความสำคัญกับเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และการวางแผน ทฤษฎีนี้ให้ความสำคัญกับระดับของความคาดหวัง (Level of Aspiration) โดยที่เขากล่าวว่าคนเรามีแนวโน้มที่จะตั้ง ความคาดหวังของตนเองให้สูงขึ้น เมื่อเขาทำงานหนึ่งสำเร็จ และตรงกัน ข้ามคือจะตั้งความตาดหวังของตนเองต่ำลง เมื่อเขาทำงานหนึ่งแล้วล้มเหลว
ทฤษฎีมานุษยนิยม (Humanistic View of Motivation)
แนวความคิดนี้เป็นของมาสโลว์ (Maslow) ที่ได้อธิบายถึงลำดับความต้องการของมนุษย์ โดยที่ความต้องการจะเป็น ตัวกระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่ความต้องการนั้น ดังนี้ถ้าเข้าใจความต้องการของมนุษย์ก็สามารถ อธิบายถึงเรื่องแรงจูงใจของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
องค์ประกอบของแรงจูงใจ
นักจิตวิทยาปัจจุบันได้ศึกษาและสรุปว่า องค์ประกอบของแรงจูงใจ มี 3 ด้านคือ
องค์ประกอบทางด้านกายภาพ (Biological Factor) ในองค์ประกอบด้านนี้จะพิจารณาถึงความต้องการทางกายภาพของมนุษย์ เช่น ความต้องการปัจจัย 4 เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้
องค์ประกอบทางด้านการเรียนรู้ (Learned Factor) องค์ประกอบด้านนี้เป็นผลสืบเนื่องต่อจากองค์ประกอบข้อ 1 ทั้งนี้เพราะมนุษย์ทุกคนไม่สามารถได้รับการตอบสนองความต้องการในปริมาณ ชนิด และคุณภาพตามที่ตนเองต้องการ และในหลาย ๆ ครั้ง สิ่งแวดล้อมเป็นตัววางเงื่อนไขในการสร้างแรงจูงใจของมนุษย์
องค์ประกอบทางด้านความคิด (Cognitive Factor)
ประเภทของแรงจูงใจ
นักจิตวิทยาได้แบ่งลักษณะของแรงจูงใจออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
กลุ่มที่1 แรงจูงใจฉับพลัน (Aroused Motive) คือแรงจูงใจที่กระตุ้นให้มนุษย์แสดงพฤติกรรม ออกมาทันทีทันใด แรงจูงใจสะสม (Motivational Disposition หรือ Latent Motive) คือแรงจูงใจที่มีอยู่แต่ไม่ได้แสดงออกทันที จะค่อย ๆ เก็บสะสมไว้รอการแสดงออกในเวลา ใดเวลาหนึ่งต่อ
กลุ่มที่ 2 แรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motive) คือแรงจูงใจที่ได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งเร้าภายในตัวของบุคคลผู้นั้น
แรงจูงใจภายนอก (Extrinsic Motive) คือแรงจูงใจที่ได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งเร้าภายนอก
กลุ่มที่ 3 แรงจูงใจปฐมภูมิ (Primary Motive) คือแรงจูงใจอันเนื่องมาจากความต้องการที่เห็นพื้นฐานทางร่างกาย เช่น ความหิว, กระหาย แรงจูงใจทุติยภูมิ (Secondary Motive) คือแรงจูงใจที่เป็นผลต่อเนื่องมาจากแรงจูงใจขั้นปฐมภูมิ
แรงจูงใจภายในและภายนอก (Intrinsic and Extrinsic Motivation) นักจิตวิทยาหลายท่านไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีพฤติกรรมนิยมที่อธิบายพฤติกรรมด้วยแรงจูงใจทางสรีระแลแรงจูงใจ ทางจิตวิทยาโดยใช้ทฤษฎีการลดแรงขับ เพราะมีความเชื่อว่า พฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์เกิดจากแรงจูงใจภายใน
แรงจูงใจภายใน หมายถึง แรงจูงใจที่มาจากภายในตัวบุคคล และเป็นแรงขับที่ทำให้บุคคลนั้นแสดงพฤติกรรม
โดยไม่หวังรางวัลหรือแรงเสริมภายนอก
ความมีสมรรถภาพ (Competence) ไวท์ ได้อธิบายว่าความมีสมรรถภาพเป็นแรงจูงใจภายใน ซึ่งหมายถึงความต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไวท์ถือว่า มนุษย์เราต้องการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่วัยทารกและพยายามที่จะปรับปรุงตัวอยู่เสมอความต้องการมีสมรรถภาพจึงเป็นแรงจูงใจภายใน
ความอยากรู้อยากเห็น (Curiosity) ความอยากรู้อยากเห็นเป็นแรงจูงใจภายในที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่อยากค้นคว้าสำรวจสิ่งแวดล้อม ดังจะเห็นได้จากเด็กวัย 2-3 ขวบจะมีพฤติกรรมที่ต้องการจะสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
แรงจูงใจภายนอก หมายถึง แรงจูงใจที่มาจากภายนอก เป็นต้นว่าคำชมหรือรางวัล
มอว์และมอว์ (MAW&MAW,1964) ได้เสนอแนะเครื่องชี้ (Indicators) ของความกระตือรือร้นของเด็กจากพฤติกรรมต่อไปนี้
เด็กจะมีปฏิกิริยาบวกต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะสิ่งที่ใหม่ แปลกและตีกลับคือมีการเคลื่อนไหว หาสิ่งเหล่านั้น
เด็กแสดงความอยากรู้เกี่ยวกับตนเองและสิ่งแวดล้อม
เด็กจะเสาะแสวงหาประสบการณ์ใหม่ ๆ โดยสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เด็ก จะแสดงความเพียรพยายามอย่างไม่ท้อถอยในการสำรวจค้นพบสิ่งแวดล้อม
มอว์และมอว์ (Maw and Maw, 1964, 1965) ได้เน้นความสำคัญของความกระตือรือร้นว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และสุขภาพจิต ความต้องการพัฒนาตน (Growth Needs) ก็เป็นความต้องการที่ทำให้เกิดแรงจูงใจภายใน ในการเรียนการสอน ครูมีหน้าที่ที่จะสนับสนุนให้นักเรียนได้มีโอกาสค้นคว้าสำรวจและทดลองความสามารถของตน โดยจัดสิ่งแวดล้อมของห้องเรียนหรือจัดประสบการณ์ที่ท้าทายความอยากรู้อยากเห็นของนักเรียน
 รูปแบบของแรงจูงใจ
บุคคลแต่ละคนมีรูปแบบแรงจูงใจที่แตกต่างกัน ซึงนักจิตวิทยาได้แบ่งรูปแบบ แรงจูงใจของมนุษย์ออกเป็นหลายรูปแบบที่สำคัญ มีดังนี้
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรมที่จะประสบสัมฤทธิผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะไม่ทำงานเพราะหวังรางวัล
แต่ทำเพื่อจะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว ้ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

มุ่งหาความสำเร็จ (Hope of Success) และกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)
มีความทะเยอทะยานสูง
ตั้งเป้าหมายสูง
มีความรับผิดชอบในการงานดี
มีความอดทนในการทำงาน
รู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง
เป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีการวางแผน
เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง
แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive)ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
เมื่อทำสิ่งใด เป้าหมายก็เพื่อได้รับการยอมรับจากกล่ม
ไม่มีความทะเยอทะยาน มีความเกรงใจสูง ไม่กล้าแสดงออก
ตั้งเป้าหมายต่ำ
หลีกเลี่ยงการโต้แย้งมักจะคล้อยตามผู้อื่น
แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากความรู้สึกว่า ตนเอง "ขาด" ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น "ปมด้อย" เมื่อมีปมด้วยจึงพยายามสร้าง "ปมเด่น" ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ผู้มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
ชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะออกมาในลักษณะการก้าวร้าว
มักจะต่อต้านสังคม
แสวงหาชื่อเสียง
ชอบเสี่ยง ทั้งในด้านของการทำงาน ร่างกาย และอุปสรรคต่าง ๆ
ชอบเป็นผู้นำ
แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive)ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้
ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่
ชอบทำร้ายผู้อื่น ทั้งการทำร้ายด้วยกายหรือวาจา
แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive)สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่ พึ่งพา จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้
ไม่มั่นใจในตนเอง
ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง มักจะลังเล
ไม่กล้าเสี่ยง
ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากผู้อื่น